primmy 55 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ กันยายน 14, 2010 ตามมาบ้านคุณงูดิน แล้วก้อบวกให้1 ดาวด้วยค่ะ เช่นกันค่ะ อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
banggrow 10 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ กันยายน 14, 2010 ขอบคุณคุณงูดินมากๆที่ให้ความรู้ตลอดมา ขอตามเรียนไปด้วยคนครับ....+1... อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ngoodin 12,920 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ กันยายน 15, 2010 (มีการแก้ไข) Money Management แบบบ้านๆ สำหรับกองทุน (1) จะทำอย่างไรให้ได้กำไรมากที่สุด และจำกัดการขาดทุนให้น้อยที่สุด จุดประสงค์ในการจัดตั้งกองทุนรวมต่าง ๆ ก็เพื่อให้ผู้ลงทุนได้ลงทุนระยะยาวในลักษณะของการสะสมหน่วยลงทุน โดยจ้างนักลงทุนมืออาชีพเข้ามา่ช่วยบริหารกองทุนเป็นผู้จัดการกองทุน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกหุ้น เลือกตลาด เลือกจังหวะการเข้าซื้อขาย และวิธีการป้องกันความเสี่ยงต่าง ๆ โดยที่ผู้ลงทุนไม่ต้องตัดสินใจอะไร เพียงแค่ซื้อสะสมหน่วยลงทุนไปเรื่อย ๆ เท่านั้น ดังนั้น ในกองทุนแต่ละกองทุนจึงมีระบบการลงทุนและการป้องกันความเสี่ยงในระดับหนึ่งอยู่แล้ว แต่ก็นั่นแหละฝีมือของนักลงทุนมืออาชีพที่เข้ามาบริหารกองทุนก็แตกต่างกันไป กองทุนลักษณะเดียวกันบางกองทุนก็มีผลตอบแทนโดดเด่นกว่ากองทุนอื่น แต่ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นตลอดเวลา บางช่วงเวลากองทุนที่มีผลตอบแทนน้อยก็กลับแซงหน้ากองทุนที่เคยมีผลกำไรมากกว่าก็ได้ การติดตามผลการดำเนินงานของกองทุนเป็นระยะ ๆ แล้วสับเปลี่ยนเงินลงทุนจากกองทุนที่ได้ผลตอบแทนน้อยไปลงทุนในกองทุนที่ได้ผลตอบแทนดีกว่า ก็เป็นการช่วยให้เราได้กำไรมากขึ้นไปอีกนิด ตัวอย่างเช่น กองทุนตราสารหนี้หรือตลาดเงิน เป็นกองทุนแบบเดียวกัน ซึ่งผมมีลงทุนใน k-money k-treasury scbsff scbtmf ktss ในตระกูล k ด้วยกันบางช่วง k-money ให้ผลตอบแทนดีกว่า k-treasury บางช่วง k-treasury ให้ผลตอบแทนดีกว่า k-money หรือตระกูล scb ส่วนใหญ่ scbtmf จะให้ผลตอบแทนดีกว่า scbsff สำหรับกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ เรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา เป็นเรื่องที่สำคัญ การลงทุนในกองทุนที่มีการประกันอัตราแลกเปลี่ยนไว้ ก็จะเป็นการช่วยจำกัดตัวแปรด้านความไม่แน่นอนของอัตราแลกเปลี่ยนในแต่ละช่วงเวลาได้เป็นอย่างดี เพราะหากเราจะลงทุนแบบ trend following ซึ่งอาศัยกราฟราคาอย่างเดียวนั้น เราต้องจำกัดตัวแปรอื่น ๆ ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมออกไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้ nav สะท้อนการขึ้นลงของกราฟราคาอย่างแท้จริง เรื่องค่าธรรมเนียมก็เป็นเรื่องสำคัญที่เคยพูดไปแล้ว แต่ขอนำมารวมในหัวข้อนี้เป็นหมวดหมู่เดียวกัน กองทุนที่ไม่มีค่าธรรมเนียมการซื้อขาย เป็นกองทุนอันดับต้น ๆ ที่ผมนำมาพิจารณาเลือกลงทุนครับ เพราะทำให้เราได้กำไรเต็มเม็ดเต็มหน่วย และขาดทุนน้อยลง เนื่องจากเรามาบริหารกองทุนด้วยตัวเอง สั่งซื้อขาย เข้าออกด้วยตัวเอง และต้องเสียเวลาดูกราฟอ่านกราฟ เหมือนเราเป็นนักบริหารกองทุนนี้ด้วยตัวเอง ก็ไม่จำเป็นต้องเสียค่าธรรมเนียมให้ผู้จัดการกองทุนเท่าไหร่นักหรอก จริงไหมครับ เรื่องกองทุนที่มีปันผล ถ้าเป็นไปได้ ควรเลือกลงทุนในกองทุนที่ไม่จ่ายปันผลครับ เพราะเงินปันผลที่ได้มา จะต้องเสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย 10% ของเงินปันผลไม่ใช่ของผลกำไรที่ได้นะครับ ดังนั้น หากช่วงเวลาใดกองทุนเกิดหวังดี(แต่ประสงค์ร้ายสำหรับเรา) เป็นพิเศษ ก็จะจ่ายปันผลเยอะ ๆ ถ้าช่วงนั้นเป็นช่วงที่เรากำไรมากอยู่ ก็ไม่เท่าไหร่นัก แต่หากช่วงนั้นอยู่ในช่วง sideway หรือเป็นช่วงที่เราเพิ่งเริ่มเข้าซื้อ เงินปันผลก็จะกินเข้ามาในต้นทุนของเราทันทีครับ ทำให้เราขาดทุน 10% ของเงินปันผลที่จ่ายคืนเรามา นอกจากนี้กว่าเราจะได้รับเิิงินปันผลก็จะใช้เวลาประมาณ 1 เดือน ทำให้เสียโอกาสในการนำเงินหมุนกลับเข้ามาซื้อหน่วยลงทุนคืนอีกตะหาก อย่างไรก็ดี การจ่ายเิงินปันผลสำหรับกองทุน LTF หรือ RMF ซึ่งเป็นกองทุนที่ต้องลงทุนระยะยาวไม่สามารถขายคืนกลับออกมาได้หากยังไม่ถึงกำหนดเวลา จะเป็นประโยชน์สำหรับเราครับ การได้รับเงินปันผลคืนมาปีละครั้งสองครั้ง ในช่วงที่ nav ขึ้นไปสูงมาก ๆ ก็จะทำให้เราได้เงินสดกลับมาลงทุนในกองทุนอื่น ๆ ได้โดยไม่ต้องรอขายกองทุนตามเวลาที่กำหนดก่อนครับ ถูกแก้ไข กันยายน 15, 2010 โดย ngoodin อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ngoodin 12,920 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ กันยายน 15, 2010 (มีการแก้ไข) Money Management แบบบ้าน ๆ สำหรับกองทุน (2) การกำหนดสัดส่วนเงินที่เข้าลงทุนเมื่อมีสัญญาณซื้อ เมื่อเริ่มมีสัญญาณซื้อครั้งแรก ซึ่งเป็นช่วงต้นคลื่นหรือช่วงที่ราคาตัดเส้น ma ขึ้นมาใหม่ ๆ เป็นโอกาสทองที่เราสมควรเสี่ยงนำเงินลงทุนส่วนใหญ่วางลงไปครับ โดยควรลงทุนเต็มหรือเกือบเต็มพอร์ตที่เรากำหนดไว้สำหรับกองทุนนั้น ๆ เพราะเมื่อราคาไต่ขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามทฤษฎี dow ผลกำไรของเราก็จะเพิ่มขึ้นไปเต็มเม็ดเต็มหน่วย ดีกว่าที่เราจะค่อย ๆ ทยอยซื้อทีละน้อย ๆ ครับ การลงทุนในครั้งแรกนี้เนื่องจากเพิ่งเป็นจุดที่กราฟเปลี่ยนทิศทางจากขาลงที่ยาวนานมาเป็นขาขึ้น ทำให้เราเกิดความไม่มั่นใจ ลังเล ไม่กล้าที่จะวางเงินลงทุนไปเยอะ ๆ เพราะความกลัวที่มันจะหลอกกิน stop loss ของเราแล้วไหลลงต่อ เราต้องกำจัดความกลัวนี้ทิ้งไปให้ได้ครับ ต้องบังคับตัวเองให้ซื้อเต็มพอร์ตเมื่อมีสัญญาณซื้อแรกให้ได้ อันนี้แหละครับที่เป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ ส่วนเมื่อมีสัญญาณซื้อครั้งต่อ ๆ ไปที่มีการทำจุดต่ำยกสูงไปเรื่อย ๆ อันนี้ถ้าเราเข้าไปเต็มพอร์ตแล้ว เราก็นั่งดูกำไรวิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ อย่างสบายใจ เืชื่อเถอะครับว่า ผลกำไรที่ได้ตาม trend นั้น โดยรวมแล้วมีมากกว่าผลขาดทุนจากการถูกกิน stop loss มากมายพอเพียงครับ ส่วนคนที่ยังเข้าไม่เต็มพอร์ตในครั้งแรก เมื่อมีการทำจุดต่ำยกสูงซึ่งเป็นจุดหยอดเข้าเพิ่มระหว่างทาง ก็อาจจะหยอดเงินลงทุนเพิ่มไปครั้งละเล็กน้อยได้เหมือนกัน แต่ไม่ควรเกิน 10-20% ของเงินลงทุนในพอร์ต เพราะเมื่อเป็นการซื้อระหว่างทาง ความเสียงที่จะกลับตัวลงย่อมมีมากขึ้นเป็นลำดับครับ หากเราหยอดซื้อไปมากเกินไปแล้วเกิดการกลัีบตัวทันที เงินที่เราหยอดไปครั้งสุดท้ายนี่แหละที่จะกลับเป็นผลขาดทุนไปหักลบจากเงินลงทุนครั้งแรกที่ต้นคลื่นของเรา ทำให้ผลกำไรของเราลดลงครับ สรุปว่าในการจัดสรรเงินลงทุน ให้ลงทุนที่ฐานคลื่นหรือจุดเข้าซื้อจุดแรกให้มากที่สุดเท่าที่จะ กล้า ทำได้ครับ ขายหมูไปแล้วทำอย่างไร การลงทุนตามกราฟนี้ ก็เป็นไปได้ที่เราจะดูกราฟผิดพลาดไปบ้าง ทำให้เกิดการขายหมูระหว่างทาง หรือเราดูกราฟดีแล้วแต่ตลาดกระชากแรงหลอกเราให้ขายหมู เช่น ตลาดทองคำ หรือตลาดน้ำมัน นี่แหละ ตัวกระชากหมูออกจากเล้าได้เก่งนัก ขายหมูไปแล้วก็ไม่เป็นไรถือว่าอย่างไรเราก็กำไร จะมากจะน้อยก็ถือว่าดีกว่าขาดทุนแหละครับ อย่าเอาไปเปรียบเทียบกับเพื่อนคนอื่นที่ถือยาว ๆ กว่าเราซึ่งได้กำไรเต็มเม็ดเต็มหน่วยกว่า เดี๋ยวจะจิตตกแม้จะได้กำไรแต่กลับมีความทุกข์ไปเปล่า ๆ หากขายหมูไปแ้ล้ว ก็หาทางต้อนหมูกลับเล้าครับ โดยดูสัญญาณเข้าซื้อเดิม ๆ ที่เราใช้นั่นแหละครับ แต่ต้องจัดสรรเงินลงทุนลดน้อยลงกว่าเดิมที่เราเข้าที่ฐานคลื่นตอนแรก เพราะถือว่าขายไปกลางทางแล้ว จะซื้อกลับก็ต้องลดเงินลงทุนลงไปเหลือแค่ 10-20% เหมือนกับการหยอดเข้าเพิ่มระหว่างทางนะครับ เพราะหากเราผลีผลามรีบลงทุนเข้าไปใหม่เต็มพอร์ตกะจะต้อนหมูทั้งเล้ากลับมาเหมือนตอนลงทุนซื้อครั้งแรกละก็ เกิดกราฟกลับตัวทันที เ้จ้าหมูที่เคยขายได้กำไรไปก่อนแล้ว อาจจะกลายเป็นหมาเน่าไปเพราะถูกผลขาดทุนไปหักกลบออกไปหมดเลยก็ได้ อันนี้ผมโดนมาสองสามครั้งในกองทุนทองคำในช่วงที่เริ่มลงทุนตาม trend ใหม่ ๆ เมื่อต้นปีนะครับ ถูกแก้ไข กันยายน 15, 2010 โดย ngoodin อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ngoodin 12,920 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ กันยายน 15, 2010 Money Management แบบบ้าน ๆ สำหรับกองทุน (3) กองทุนแต่ละกองทุนจะขึ้นจะลงตามใจตัวเองไม่ขึ้นแก่กันนะครับ อย่าไปคิดว่ากองทุนหุ้นขึ้น กองทุนทองคำต้องลง หรือว่า กองทุนหุ้นกู้ขึ้น กองทุนหุ้นต้องลง อะไรแบบนี้ หรือแม้แต่กองทุนหุ้นด้วยกันเองก็ขึ้นลงไม่พร้อมกัน และไม่พร้อมกับ set หรือ set50 นะครับ เพราะแต่ละกองทุนอาจจะเลือกหุ้นในกลุ่มที่แตกต่างกันครับ บางครั้ง set ปิดลบ แต่กองทุนกลับบวกได้เรื่อย ๆ อย่าง kttn หรือ scbdv เป็นต้น ตามประสบการณ์ของผมแต่ละกองทุนมีนิสัยตามใจตัวเองครับ ฉ้นอยากจะขึ้นก็ขึ้น อยากจะลงก็ลงไม่ต้องไปฟังใคร ดังนั้น การกระจายการลงทุนไปยังกองทุนต่าง ๆ จึงช่วยให้เรามีโอกาสได้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอครับ จริงอยู่การเลือกทุ่มเงินลงทุนทั้งหมดลงไปในกองทุนเดียวอาจจะได้กำไรมากมายมหาศาลในช่วงที่เป็น trend ขาขึ้นของกองทุนนั้น แต่หากเป็นช่วง sideway หรือขาลงละก็ เราอาจจะขาดรายได้ไปนาน ต้องกินบุญเก่าไปเรื่อย ๆ หรือที่ร้ายกว่านั้นหากเราไปเริ่มลงทุนช่วง sideway หรือขาลงของกองทุนนั้นพอดี อันนี้ก็จะขาดทุนอย่างมากมายและยาวนานตั้งแต่เริ่มต้นทีเดียวละครับ เราควรกระจายเงินลงทุนของเราไปยังกองทุนต่าง ๆ ที่อยู่ใน spec ที่เราตั้งไว้ คือกองทุนที่ไม่มีค่าธรรมเนียม กองทุนที่ไม่มีปันผล กองทุนต่างประเทศที่ประกันอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน เพื่อให้เราได้ผลกำไรอย่างสม่ำเสมอเป็นรากฐานมั่นคงและสร้างขวัญและกำลังใจในการลงทุนให้เราได้ตลอดเวลาครับ ซื้อขายทางอินเตอร์เนตช่วยให้เราได้กำไรมากขึ้นไปอีก เพราะไม่ต้องเสียค่ารถไปซื้อขายครับ หึ หึ อ่านดูแล้วก็ตลกดีแต่เป็นความจริงครับ เนื่องจากเราลงทุนในหลาย ๆ กองทุน ของหลาย ๆ บริษัท และแต่ละกองทุนอาจจะมีจุดเข้าซื้อหรือขาย หรือหยอดเพิ่มวนเวียนกันไปทุกวันครับ ถ้าต้องเดินทางไปธนาคารเพื่อแจ้งซื้อขายสับเปลี่ยนกองทุนวันหนึ่ง ๆ ก็คงต้องไปหลายแห่งและไปเกือบทุกวัน เสียทั้งเวลา ทั้งค่ารถเดินทาง อัตราเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุระหว่างทาง เสียเวลาอาบน้ำแต่งตัว เผลอ ๆ ต้องแวะกินข้าว แวะช้อปปิ้งอีกตะหาก เผลอ ๆ กำไรที่ได้มาก็เป็นค่าใช้่จ่ายพวกนี้ไปอีกเยอะ ควรเปิดบัญชีสั่งซื้อขายทางอินเตอร์เนตครับ จะได้สั่งซื้อได้จากที่บ้านได้ และถ้าจะให้ดียิ่งไปกว่านั้นอีก ควรสามารถใ้ช้โทรศัพท์มือถือในการสั่งซื้อขายได้ด้วย อันนี้ละก็สมบูรณ์แบบครับ สามารถสั่งซื้อขายสับเปลี่ยนได้ทุกที่ทุกเวลาเมื่อมีสัญญาณมาให้เห็น 2 อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
Tiewsian 10 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ กันยายน 15, 2010 !thk !10 !10 !thk อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
Gotmotion 87 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ กันยายน 15, 2010 ตามคุณงูดินมา อ่านกระทู้ที่ให้ความรู้อย่างมากมายเลยคะ ต้องขอก๊อปไปไว้ศึกษาแล้วละคะ สาระแล้วประโยชน์อย่างงี้ ก๊อตไม่ขอพลาดนะคะ ขอบคุณมากๆๆๆเลยคะ อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
banggrow 10 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ กันยายน 16, 2010 ขอบคุณครับ...+1..อีก...... อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
moddum 11 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ กันยายน 23, 2010 สวัสดีค่ะ เขามาเก็บเกี่ยวความรู้ค่ะ รู้สึกดีมากๆ เมื่ออ่านแล้ว ขอบคุณค่ะ คงต้อง save ไว้ศึกษาค่ะ อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
vachira purivarangkakoonch 55 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ กันยายน 26, 2010 thx alot ka อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ngoodin 12,920 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ ตุลาคม 2, 2010 (มีการแก้ไข) ช่วงนี้ aud มีทิศทางที่น่าสนใจศึกษาครับ ตอนนี้ราคาหลุด ma5 ลงมา เป็นสัญญาณขายที่หนึ่ง และราคาทำจุดต่ำสุดต่ำกว่าจุดต่ำสุดเดิม เป็นสัญญาณขายที่สอง เมื่อรวมสองสัญญาณจะเห็นได้ว่าทิศทางกลับตัวเป็นขาลงแล้ว เราก็ล้างพอร์ตหนีออกจากตลาดไปก่อน ไม่ร่วมขาดทุนด้วย ตามทฤษฎี dow เิมื่อราคากลับตัวเป็นขาลง จากนั้น มันจะลงไปเรื่อย ๆ ๆ ๆ ตามเส้นลูกศรสีแดงครับ แต่หากไม่เป็นไปตามทฤษฎี เกิดมีการกลับตัวขึ้นใหม่ เราก็จะกลับเข้าซื้อใหม่ที่จุดไหน จุดที่เข้าซื้อใหม่สัญญาณแรกเมื่อราคาดีดขึ้นเหนือเส้น ma5 อันนี้ง่าย ๆ สัญญาณที่สอง เมื่อราคาขึ้นไปแล้วย่อตัวลงแต่ไม่ต่ำกว่าจุดต่ำสุดเดิม แล้วก็มีการดีดขึ้น เกิดจุดต่ำยกสูง เป็นการยืนยันการกลับตัวขึ้น เราจึงจะเข้าซื้อครับ ตามทิศทางกราฟเส้นสีเขียว ก็ลองรอดูกันต่อไปนะครับ ว่ากราฟจะไปทางไหน ตอนนี้น้ำหนักอยู่ทางเส้นสีแดงตามทฤษฎี dow ครับ ถูกแก้ไข ตุลาคม 2, 2010 โดย ngoodin 2 อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
Maenam 41 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ ตุลาคม 2, 2010 ขอบคุณค่ะคุณงู !gd !thk อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ngoodin 12,920 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ ตุลาคม 5, 2010 มาศึกษาติดตามเจ๊อู๊ดกันต่อนะครับ จะเห็นได้ว่า เจ๊อู๊ดไหลลงมาเรื่อย ๆ ๆ ๆ ตามทฤษฎี dow คือทำจุดต่ำสุดต่ำลงไปเรื่อย ๆ จุดสูงสุดก็ต่ำลงไปเรื่อย ๆ ราคาก็อยู่ต่ำกว่า ma5 เราได้ออกจากตลาดเจ๊อู๊ดไปแล้วตั้งแต่เห็นจุดต่ำ new low จุดแรก และเมื่อราคาหลุด ma5 ในครั้งแรก ดังนั้น ตอนนี้เราก็เก็บเงินไว้เฉย ๆ ดูเจ๊ร่วงลงไปเรื่อย ๆ อย่างสบายใจ แล้วเจ๊จะลงไปถึงแค่ไหน อันนี้ไม่มีใครทราบได้ แต่ก็มีคนพยายามที่จะหาวิธีเดาราคา โดยอาศัยหลักจิตวิทยาของมนุษย์ เพราะมนุษย์มีนิสัยชอบการพนัน ชอบเก็งกำไร ก็เลยหาหลักที่ว่าคนส่วนใหญ่จะเข้าเสี่ยงซื้อที่จุดไหนเพื่อจะเก็งว่ามันจะดีดตัวขึ้นได้ นั่นคือจุดของ fibonacci นั่นเอง การเดาราคาด้วย fibonacci ผมมีหลักง่าย ๆ คือ หลัก 1/3 ครับ คือ ดูช่วงห่างของราคาต่ำสุดและสูงสุดที่เคยเป็นขาขึ้นมาในรอบที่แล้ว แล้วแบ่งออกเป็น 3 ส่วน หากราคากลับตัวลงมาถึง 1/3 ก็มีโอกาสดีดขึ้นได้เป็นจุดแรก ถ้าไม่ดีดขึ้นที่จุดนี้ แสดงว่า เดาผิด จุดที่จะดีดขึ้นได้จุดต่อไปคือเมื่อราคาไหลลงไป 2/3 ก็ควรจะดีดขึ้นได้ แต่ถ้าเดาผิดอีก จุดสุดท้ายคือที่ 3/3 คือที่ฐานต่ำสุดเดิมนั่นเอง และถ้าเดาผิดอีก ราคาหลุดราคาต่ำสุดเดิม ก็ไม่ต้องเดาว่ามันจะดีดขึ้นอีกแล้วครับ เพราะแสดงว่าราคาได้กลับตัวเป็นขาลงในคลื่นรอบใหญ่แล้ว ถ้าดูตามกราฟประกอบกับ fibo เมื่อแบ่งราคาเจ๊อู๊ดออกเป็น 3 ส่วน จะเห็นว่า จุดแรกที่ลงมาในสัดส่วน 1/3 อยู่ที่ประมาณ 28.8 บาท และควรสังเกตแนวรับในรูปกราฟประกอบด้วย ก็จะเห็นว่าอยู่ที่ประมาณเดียวกัน ดังนั้น ถ้าเราอยากจะทำตัวเป็นกูรู ก็ต้องใช้หลักกูเดา ตาม fibonacci พยากรณ์ล่วงหน้าว่า เจ๊อู๊ดน่าจะลงไปถึง 28.8 บาท แล้วดีดขึ้นได้ แต่หากเดาผิด กูรูก็จะแกล้งทำลืม ว่าเคยพยากรณ์อะไรไว้ แล้วใช้หลักกูเดาใหม่ ว่าถ้าไม่ดีดขึ้นที่ 28.8 บาท แต่ไหลลงต่อ ก็จะต้องดีดขึ้นที่ 28.4 บาท ซึ่งเป็นสัดส่วน 2/3 และตรงกับรอยหยักของกราฟที่เป็นแนวรับพอดีเหมือนกัน แต่ถ้าเดาผิดอีก กูรูก็จะแกล้งลืมการพยากรณ์ผิด ๆ 2 ครั้งที่ผ่านมา แล้วใช้หลักกูเดาต่อ บอกว่ามีโอกาสดีดขึ้นได้ที่ 27.8 บาท ที่เป็นฐานต่ำสุดเดิม และแถมภาษาปะกิตแสดงภูมิเพิ่มเข้าไปอีกหน่อยว่า เป็นการทำ double bottom การพยากรณ์ราคาล่วงหน้านี้ ใช้สำหรับคนที่อยากทำตัวเป็นกูรู และสำหรับนักเก็งกำไรเท่านั้น ส่วนผู้ที่เป็นนักลงทุน เราจะไม่เสี่ยงเข้าซื้อตามราคาที่เดาล่วงหน้าว่าจะมีการกระเด้งขึ้นดังกล่าว แต่เราจะเข้าซื้อเมื่อราคามีการทำจุดต่ำยกสูง หรือราคาตัด ma5 ขึ้นไปใหม่ ซึ่งแสดงว่าราคาได้มีการกลับตัวเป็นขาขึ้นสำเร็จแล้วเท่านั้นครับ ส่วนการพยากรณ์ราคาล่วงหน้าตาม fibonacci นี้ ก็ขอให้รู้ไว้ว่าเขาทำกันอย่างไร กู(ไม่มีรู) ก็ทำได้ อิอิ อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ngoodin 12,920 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ ตุลาคม 7, 2010 วันนี้เจ๊อู๊ดทำตัวน่าสนใจอีกแล้ว จะเห็นได้ว่า เจ๊อู๊ดวันนี้แหกทฤษฎี fibonacci โดยเลือกที่จะกลับตัวเป็นขาขึ้นทันทีแม้ราคาจะลงไปไม่ถึง 1/3 เจ๊อู๊ดกลับดีดตัวแรงจนราคาตัด ma5 ขึ้นสูงเป็นสัญญาณซื้อแรกตามแนวทางของผมคือเข้าไปก่อนครึ่งพอร์ต โดยกำหนดจุด stop loss ที่ low เดิมคือ 29.2 บาท นั่นหมายถึงหากราคาวิ่งขึ้นวิ่งลงแม้จะหลุด ma5 ลงมาอีกครั้งแต่หากยังไม่หลุดจุด stop loss คือยังไม่หลุด 29.2 บาท ผมก็ยังไม่ขายนะครับ และหากราคากลับตัวแล้วเป็นขาขึ้นจริง มันก็จะขึ้นไปเรื่อย ๆ ๆ ๆ ถ้ามีการทำจุดต่ำยกสูง หรือมีการทำราคาปิดสูงกว่าราคาสูงสุดเดิมที่ 29.5 บาท เมื่อไหร่ ก็จะเป็นสัญญาณเข้าอีกครึ่งพอร์ตที่เหลือครับ 1 อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
Maenam 41 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ ตุลาคม 7, 2010 ขอบคุณคะคุณงูขอเดินตามหลังไปเรื่อยๆ พร้อมทั้งศึกษาวิทยายุทธ์ร่วมด้วยค่ะ จะได้มีอาวุธไว้รับสถาณการณ์ข้างหน้า 555 ตอนนี้จ้องตามหลังแบบตาไม่กระพริบ :lol: อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น