ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

อ่านแก้เซ็งแล้วกัน :bye

“In fact, gold and silver were higher against all the world's major currencies last year, which is an important point. National currencies are being destroyed by misguided government policies. So while the purchasing power of these currencies is being eroded, the best governments can do and the most they can expect is to try keep the gold price from rising faster than the rate at which the purchasing power of currencies is being debased.

This battle is what the phrase ‘managed retreat’ is all about, and it is indeed a retreat. The central planners are losing the war, as evidenced by the fact that gold has now risen twelve years in a row at an average annual rate of 16.8% per annum....

http://kingworldnews.com/kingworldnews/KWN_DailyWeb/Entries/2013/1/3_Turk_-_A_Black_Swan_Event,_Global_Monetary_Reset_&_Chaos.html

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ปีนี้ไม่ขึ้น ปีหน้าก็ต้องขึ้น ปีหน้าไม่ขึ้น ปีต่อไปก็ต้องขึ้น (เลียนแบบอ.นิเวศน์์)

 

อันนี้ก็เห็นด้วยอีก.... แต่ที่พึ่งโดนแซวมาก็คือ

 

โห ถ้า wcg เอาเงินที่ซื้อทองที่ราคามันไม่ไปไหนเนี่ย ไปเล่นหุ้น เทรดทอง ฯลฯ ป่านนี้ก็ได้กำไรมหาศาลแล้ว ฯลฯ

 

ก็จริงอย่างที่เขาว่า .... :) แต่บังเอิญผมเป็นแต่ซื้อทองเก็บ เลยได้แต่นั่งฟังยิ้มๆ

(แต่คนที่พูดน่ะ เก็บแต่เงินสด หุ้นไม่เล่น ทองติดดอยอยู่ 26xxx ชวนให้ซื้อตั้งแต่ 15-17xxx ก็ไม่ซื้อ มาซื้อตอน 26xxx)

 

เอาเวลาว่างๆไปอ่านหนังสือสอนอ่านกราฟดีกว่า :D

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

นี่พึ่งคุยกับญาติ เขาบอกว่า เชื่อสิ คิวอีเท่าไหร่ก็ไม่มีผลกับราคาทองคำหรอก

ดูปีที่ผ่านมาสิ ไม่เห็นจะขึ้นเลย มีทั้งคิวอีสาม คิวอีสี่, พวกมาเฟียการเงินไม่ปล่อยให้ทองคำขึ้นหรอก ฯลฯ

 

สวัสดีเพื่อนๆทุกท่าน เห็นราคาแล้วรู้สึกเซ็งเหลือเกิน ไม่รู้มีใครรู้สึกเหมือนผมเหรอเปล่าตอนนี้? คิวอีสาม--ลง คิวอีสี่--ลง ฟิสคัลคริฟ--ลง พ้นฟิสคัลคริฟ(เลื่อนไป) ก็ยัง--ลง มันจะลงอะไรกันนักกันหนาเนี่ยยย.... พักหลังเนี่ย สวนกระแสตลอดเลย ทั้งน้องทองคำ และน้องเงิน...

 

คนเริ่มเอียน แสดงว่าใกล้แล้วครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

อันนี้ก็เห็นด้วยอีก.... แต่ที่พึ่งโดนแซวมาก็คือ

 

โห ถ้า wcg เอาเงินที่ซื้อทองที่ราคามันไม่ไปไหนเนี่ย ไปเล่นหุ้น เทรดทอง ฯลฯ ป่านนี้ก็ได้กำไรมหาศาลแล้ว ฯลฯ

 

 

ในตลาดมีแต่นักเก็งกำไร แต่คนที่รวยมากๆ ติดอันดับหลายๆปี อย่างบัฟเฟตกลับมาจากการลงทุนที่ไม่ค่อยมีใครคิดอยากจะทำตาม

คงเพราะคนเรามักมองในระยะสั้น ;)

 

พอทองขึ้น หุ้นเริ่มไปไม่ไหว ก็จะมีคนบอกคุณ wcg ว่า

 

โห ถ้าเอาเงินที่ซื้อหุ้นที่ราคามันไม่ไปไหนเนี่ย ไปซื้อทอง ฯลฯ ป่านนี้ก็ได้กำไรมหาศาลแล้ว ฯลฯ

ถูกแก้ไข โดย milo

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

อันนี้ก็เห็นด้วยอีก.... แต่ที่พึ่งโดนแซวมาก็คือ

 

โห ถ้า wcg เอาเงินที่ซื้อทองที่ราคามันไม่ไปไหนเนี่ย ไปเล่นหุ้น เทรดทอง ฯลฯ ป่านนี้ก็ได้กำไรมหาศาลแล้ว ฯลฯ

 

ก็จริงอย่างที่เขาว่า .... :) แต่บังเอิญผมเป็นแต่ซื้อทองเก็บ เลยได้แต่นั่งฟังยิ้มๆ

(แต่คนที่พูดน่ะ เก็บแต่เงินสด หุ้นไม่เล่น ทองติดดอยอยู่ 26xxx ชวนให้ซื้อตั้งแต่ 15-17xxx ก็ไม่ซื้อ มาซื้อตอน 26xxx)

 

เอาเวลาว่างๆไปอ่านหนังสือสอนอ่านกราฟดีกว่า :D

 

จริงอย่างที่ว่าครับ ปีนี้หุ้นขึ้นมากกว่าที่ทองขึ้น ถ้าอยากรวยเร็ว ซื้อหุ้นก็ดีกว่า แต่มันซับซ้อนกว่า

 

ผมมองว่าทองเป็นเหมือนหลักประกัน ในกรณีที่มันเกิดวิกฤตอะไรที่เราคาดไม่ถึง มีไว้ซัก 10% ของport หาจังหวะที่ราคาต่ำหน่อยถือไว้นานหน่อยแล้วไม่ต้องมองการแกว่งของราคา

แล้วก็อย่าไปมองว่ามันจะทำกำไรไ้ด้มาก ถ้ามันขึ้นเยอะมากๆหมายความว่า ข้าวของต่างๆที่เราต้องซื้อใช้มันก็คงแพงขึ้นมากด้วยเหมือนกัน

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

จากที่คุณหมอนำข้อความจากลุงจิมมาฝาก ว่า เฟดหยุดพิมพ์ไม่ได้หรอก

 

ตอนนี้ มาร์ติน อาร์มสตรอง ออกมาแสดงความเห็นตามนี้ครับ

  • เฟดจะลดการพิมพ์เงิน หรือหยุดพิมพ์ไปเลยในปี ๒๐๑๓ นี้ เหตุผลไม่ใช่เพราะเศรษฐกิจดีแล้ว แต่เป็นเพราะหมดฤดูเลือกตั้งแล้ว (เฟดพิมพ์เงินเพื่อให้เศรษฐกิจไม่เน่าในช่วงเลือกตั้ง)
  • ตอนนี้สิ่งที่เฟดกังวลก็คือตลาดพันธบัตร ซึ่งตอนนี้มีอัตราดอกเบี้ยต่ำอยู่ ถ้าแม้แต่อัตราดอกเบี้ยขึ้นมาแม้แต่นิดเดียว จะทำให้เกิดวิกฤตได้ (ไม่ได้สนใจตาสีตาสาหรอก ว่าจะอยู่กันได้หรือเปล่า)
  • เลิกคิดเรื่องเงินเฟ้อรุนแรง (ไฮเปอร์อินเฟลชัน) ไปได้เลย เพราะรัฐบาลจะเปลี่ยนมาใช้วิธีเพิ่มภาษี เพื่อที่จะกดอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำๆเข้าไว้ในตอนนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการรักษาอำนาจของพวกเขาไว้

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

:Announce ปรากฎว่าเวทีประกวดความขี้เหร่ของค่าเงิน มีผู้ส่งเข้าประกวดมากขึ้นเรื่อยๆ

 

บ้านเราน่าจะแอบพิมพ์บ้างนะแล้วเอาไปซื้อทองมาเก็บเข้าคลังหลวงถึงเวลานั้นจะได้รอดตาย

 

ฝรั่งมันยังพิมพ์แล้วเอาไปซื้อกิจการต่างๆทั่วโลกได้เลย

 

 

Switzerland and Britain are now at currency war

 

The Swiss and UK central banks are effectively fighting a "low intensity" currency war against each other.

 

 

http://blogs.telegra...t-currency-war/

ถูกแก้ไข โดย MOR LEK

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ของถูกก็เลยขายดี

 

The US Mint has updated their gold eagle sales totals, and the Mint has reportedly sold an astonishing 57,000 ounces of gold in the first 2 business days of January- nearly half the total of all of January 2012!

 

http://www.silverdoctors.com/us-mint-sells-57000-ounces-of-gold-first-2-days-of-2013/#more-19649

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

มาฟัง ปีเตอร์ ชิฟฟ์ คุยกับ ซีเอ็นบีเอส กันครับ

  • ดอลล่าร์ คือ ราชาแห่งการเสื่อมค่า
  • ผมไม่สนใจหรอกว่าเฟดจะพูดว่าอะไร ผมสนแค่ว่าเฟดจะทำอะไร
  • เฟดน่าจะมีการเพิ่มขนาดคิวอีอีกในปีนี้
  • การที่เรายังไม่ตกหน้าผาทางการคลัง หมายความว่าการขาดดุลงบประมานจะสูงขึ้นกว่านี้
    (ยังพ้นหน้าผามาได้ไม่นาน ตอนนี้หน่วยงานของสภาคองเกรสออกมาบอกแล้วว่าคิดเลขผิดไป ตัวเลขขาดดุลที่คุยกันเมื่อวันก่อน ต้องเพิ่มอีกหกแสนล้านเหรียญนะจ๊ะ)
  • ถ้าขาดดุลแบบนี้ จะทำให้อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น และนั่นเป็นสิ่งที่เฟดและรัฐบาลไม่ต้องการ (พูดเหมือนมาร์ติน)
  • ดังนั้น การที่จะเหยียบอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำเตี้ยไว้ คือการพิมพ์เงินเพิ่มเพื่อซื้อหนี้ของตัวเองนั่นเอง (อันนี้พูดไม่เหมือนมาร์ติน)

ฟังกูรูมาทั้งสองด้านแล้ว โปรดแทงรอบต่อไปตามอัธยาศัย

 

ที่มา : http://maxkeiser.com...e-depreciation/

ถูกแก้ไข โดย wcg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

มาฟัง ปีเตอร์ ชิฟฟ์ คุยกับ ซีเอ็นบีเอส กันครับ

  • ดอลล่าร์ คือ ราชาแห่งการเสื่อมค่า
  • ผมไม่สนใจหรอกว่าเฟดจะพูดว่าอะไร ผมสนแค่ว่าเฟดจะทำอะไร
  • เฟดน่าจะมีการเพิ่มขนาดคิวอีอีกในปีนี้
  • การที่เรายังไม่ตกหน้าผาทางการคลัง หมายความว่าการขาดดุลงบประมานจะสูงขึ้นกว่านี้
    (ยังพ้นหน้าผามาได้ไม่นาน ตอนนี้หน่วยงานของสภาคองเกรสออกมาบอกแล้วว่าคิดเลขผิดไป ตัวเลขขาดดุลที่คุยกันเมื่อวันก่อน ต้องเพิ่มอีกหกแสนล้านเหรียญนะจ๊ะ)
  • ถ้าขาดดุลแบบนี้ จะทำให้อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น และนั่นเป็นสิ่งที่เฟดและรัฐบาลไม่ต้องการ (พูดเหมือนมาร์ติน)
  • ดังนั้น การที่จะเหยียบอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำเตี้ยไว้ คือการพิมพ์เงินเพิ่มเพื่อซื้อหนี้ของตัวเองนั่นเอง (อันนี้พูดไม่เหมือนมาร์ติน)

ฟังกูรูมาทั้งสองด้านแล้ว โปรดแทงรอบต่อไปตามอัธยาศัย

 

ที่มา : http://maxkeiser.com...e-depreciation/

ที่มาร์ตินพูดแล้วผมงงๆ ผมถึงไม่เอามาโพสต่อในเฟซผม อ่านแล้วผมไม่เข้าใจสิ่งที่บอก แต่ที่ปีเตอร์ ชิฟฟ์พูดอันนี้ตรงกับความเข้าใจผม มีเพื่อนในเฟซผมมาcopyข้อความส่วนนี้ไปลงในเฟซผมแล้ว

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ของถูกก็เลยขายดี

 

The US Mint has updated their gold eagle sales totals, and the Mint has reportedly sold an astonishing 57,000 ounces of gold in the first 2 business days of January- nearly half the total of all of January 2012!

 

http://www.silverdoc...013/#more-19649

 

ส่วน SILVER EAGLE ยอดเป็นศูนย์ คงยังไม่เปิดจำหน่ายเหรียญSILVER เหตุใดจึงไม่จำหน่าย น่ามีนัยแอบแฝง

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

:Announce ปรากฎว่าเวทีประกวดความขี้เหร่ของค่าเงิน มีผู้ส่งเข้าประกวดมากขึ้นเรื่อยๆ

 

บ้านเราน่าจะแอบพิมพ์บ้างนะแล้วเอาไปซื้อทองมาเก็บเข้าคลังหลวงถึงเวลานั้นจะได้รอดตาย

 

ฝรั่งมันยังพิมพ์แล้วเอาไปซื้อกิจการต่างๆทั่วโลกได้เลย

 

 

Switzerland and Britain are now at currency war

 

The Swiss and UK central banks are effectively fighting a "low intensity" currency war against each other.

 

 

http://blogs.telegra...t-currency-war/

น่าเชิญคุณหมอมาดูแลธนาคารแห่งประเทศไทยจังเลย อย่างน้อยเมื่อcurrency crisis ระเบิดขึ้น เรามีทองคำมากขึ้นจากการพิมพ์กระดาษไปแรกทองคำมา ก็จะลดผลกระทบลงไปได้บ้าง

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ส่วน SILVER EAGLE ยอดเป็นศูนย์ คงยังไม่เปิดจำหน่ายเหรียญSILVER เหตุใดจึงไม่จำหน่าย น่ามีนัยแอบแฝง

 

เจมส์ เถิก เขาบอกแบบนี้ครับว่าที่ไม่ขายเพราะ :Announce

1 ไม่มีของที่จะมาทำเหรียญ :57 หรือ

2 ไม่อยากขายของที่ราคาถูกเกินไป :gd

 

http://kingworldnews..._%26_Chaos.html

ถูกแก้ไข โดย MOR LEK

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

วันที่ 7 มกราคม 2556 04:00 news_img_ceo_6.jpg ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

การจัดการปัญหาการคลังอย่างไม่เบ็ดเสร็จของสหรัฐ

 

โดย : ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

เดิมทีผมตั้งใจจะ เขียนบทความตอนสุดท้ายเกี่ยวกับนโยบายการเงินของสหรัฐ แต่เรื่องหน้าผาการคลังของสหรัฐกำลังเป็นที่สนใจอย่างมากในขณะนี้

จึงจะขอเขียนถึงเรื่องการจัดการปัญหาการคลังอย่างไม่เบ็ดเสร็จของสหรัฐก่อน และจะเขียนบทสรุปนโยบายการเงินในครั้งต่อไปครับ

หากอ่านข่าวและดูการปรับตัวขึ้นของหุ้นทั่วโลกก็จะทำให้สรุปได้ว่าสหรัฐ สามารถแก้ปัญหาการคลังไปได้อย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่าการผ่านกฎหมายโดยวุฒิสภาจะเลยเส้นตายเล็กน้อย กล่าวคือร่างกฎหมายผ่านออกมาตอนตี 2 ของวันที่ 1 มกราคมและต่อมาในคืนเดียวกันสภาล่างก็ได้ให้ความเห็นชอบร่างกฎหมายดังกล่าว ด้วยคะแนนเสียงที่ท่วมท้น ทำให้ประธานาธิบดีโอบามาสามารถลงนามเห็นชอบกฎหมายดังกล่าวได้ในคืนเดียวกัน และสามารถเดินทางกลับไปพักผ่อนกับครอบครัวต่อที่เกาะฮาวาย

สาระของกฎหมายที่หลีกเลี่ยงหน้าผาทางการคลังนั้นมีมากมาย ซึ่งสื่อต่างๆ ก็ได้นำเสนอข้อมูลไปอย่างครบถ้วนแล้ว ผมจึงขอกล่าวถึงประเด็นสรุปที่ผมเห็นว่าสำคัญดังนี้

1. เป็นการหลีกเลี่ยงการปรับขึ้นภาษีและลดรายจ่ายที่มากถึง 4% ของจีดีพี หากไม่สามารถตกลงกันได้และข้อตกลงที่เกิดขึ้นทำให้มีการปรับขึ้นภาษีกับคน รวยเป็นหลัก แต่คนทำงานทั่วไปก็จะต้องจ่ายภาษีเข้ากองทุนประกันสังคมเพิ่มขึ้น ทำให้รวมทั้งสิ้นจะมีการรัดเข็มขัดทางการคลังประมาณ 1.25-1.6% ของจีดีพี ทั้งนี้เมอร์ริล ลินช์ จึงมองว่าจีดีพีของสหรัฐในไตรมาส 1 อาจโตได้เพียง 1% จากที่ขยายตัว 3.1% ในไตรมาส 4 ของปีที่แล้ว

2. ประธานาธิบดีโอบามาเป็นผู้ได้ชัยชนะทางการเมือง เพราะสามารถกดดันให้พรรครีพับลิกันต้องเปลี่ยนจุดยืนที่ยึดมานานกว่า 4 ปีโดยยอมให้ปรับขึ้นภาษีสำหรับผู้ที่มีรายได้รวมเกินกว่า 450,000 ดอลลาร์ต่อปี (หรือคนโสดที่มีรายได้เกิน 400,000 ดอลลาร์ต่อปี) จากที่เดิมตั้งเป้าเอาไว้ที่ 250,000 ดอลลาร์ และ 200,000 ดอลลาร์ตามลำดับ

3. บางคนมองว่าการที่ทั้งสองสภาผ่านร่างกฎหมายที่เป็นข้อตกลงอย่างท่วมท้น โดยได้เสียงจำนวนมากจากพรรครีพับลิกัน ทำให้สามารถเชื่อได้ว่าพรรคการเมืองของสหรัฐจะสามารถทำงานร่วมกันเพื่อหา ทางออกเกี่ยวกับปัญหาวินัยทางการคลังได้ในอนาคต

แต่นักวิเคราะห์หลายคนมองต่างมุมว่าข้อตกลงเมื่อวันที่ 1 ม.ค.นั้นเป็นข้อตกลงที่น่าผิดหวังและจะทำให้เกิดปัญหายืดเยื้อ ตลอดจนเป็นการสะท้อนว่ากระบวนการทางการเมืองของสหรัฐขาดวุฒิภาวะที่จะแก้ ปัญหาที่รากเหง้า ทำให้อนาคตทางการคลังของสหรัฐน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง ซึ่งกลุ่มนี้มีแนวคิดที่พอจะสรุปได้ดังนี้

๐ ข้อตกลงเมื่อวันที่ 1 ม.ค.นั้นเป็นข้อตกลงชั่วคราวที่เป็นการผัดวันประกันพรุ่ง (Kicking the can down the road) ไปอีก 2 เดือน ซึ่งเมื่อถึงปลายเดือนกุมภาพันธ์ สหรัฐจะต้องเผชิญปัญหาใหญ่ 2 เรื่องคือ 1. มาตรการตัดลดการใช้จ่ายของกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ (ปีละ 1 แสนล้านดอลลาร์เป็นเวลา 10 ปี) ที่ถูกชะลอเอาไว้เพียง 2 เดือนต้องมาหาข้อตกลงกันใหม่ และ 2. รัฐบาลสหรัฐก่อหนี้เต็มเพดานที่สภาอนุมัติแล้วที่ 16.4 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อวันที่ 31 ธ.ค.ที่ผ่านมาและปัจจุบันกระทรวงคลังสหรัฐกำลังใช้มาตรการพิเศษ (โยกย้ายเงินจากส่วนหนึ่งไปจ่ายอีกส่วนหนึ่ง) เพื่อมิให้รัฐบาลสหรัฐต้องพักชำระหนี้ แต่มาตรการดังกล่าวจะทำให้สามารถหลีกเลี่ยงการพักชำระหนี้ไปได้อีกไม่เกิน 2 เดือน ทำให้สหรัฐจะต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมือง ในปลายเดือนกุมภาพันธ์อีกครั้ง

๐ การที่พรรครีพับลิกันยอมสนับสนุนข้อตกลงดังกล่าวก็เพื่อหลีกเลี่ยงการ ถูกกล่าวหาว่าปล่อยให้อัตราภาษีปรับเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติสำหรับประชาชนทุก คน แต่เมื่อยอมให้อัตราภาษีปรับขึ้น (แม้จะเป็นภาษีคนรวย) ไปแล้ว รีพับลิกันมองว่าต่อไปนี้จะแสดงท่าทีที่แข็งกร้าวและจะสามารถกดดันให้ ประธานาธิบดีโอบามาต้องยอมปรับลดงบประมาณโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการประกัน สุขภาพและประกันสังคม กล่าวคือหากประธานาธิบดีโอบามาไม่ยอมลดรายจ่าย รีพับลิกันก็จะไม่ยอมปรับเพิ่มเพดานหนี้ให้ ทำให้เชื่อว่าโอบามาจะตกในที่นั่งลำบาก แต่ประธานาธิบดีโอบามาก็ได้แสดงจุดยืนตอบโต้อย่างแข็งกร้าวว่าจะต้องมีการ เก็บภาษีจากคนรวยมากขึ้นตราบเท่าที่เขายังเป็นประธานาธิบดีต่อไปอีก 4 ปี

๐ ที่สำคัญที่สุดคือนักการเมืองสหรัฐยังไม่ได้แก้ปัญหาพื้นฐานทางการคลังของ ประเทศเลย เพราะปัญหาหลักคือการใช้จ่ายเกินตัว กล่าวคือปัจจุบันรัฐบาลกลางเก็บภาษีเท่ากับ 18% ของจีดีพี แต่ใช้เงินงบประมาณเท่ากับ 25% ของจีดีพีต่อปี และข้อตกลงที่กล่าวข้างต้นนั้นแม้จะถูกประกาศออกมาว่าได้ช่วยหลีกเลี่ยงความ ถดถอยทางเศรษฐกิจโดยการไม่ปรับขึ้นภาษีสำหรับประชาชน 99% ของประเทศ แต่ก็ถูกประเมินโดยสำนักงานงบประมาณของรัฐสภา (Congressional Budget Office-CBO) ว่าจะทำให้หนี้สาธารณะของสหรัฐเพิ่มขึ้นอีก 4 ล้านล้านดอลลาร์ในอีก 10 ปีข้างหน้า (จากปัจจุบันที่ 16.4 ล้านล้านดอลลาร์หรือ 100% ของจีดีพี)

กล่าวโดยสรุปคือนักการเมืองยังไม่ได้เริ่มแก้ปัญหาการคลังของประเทศเลย แต่การเจรจาอย่างคร่ำเครียดบวกกับการเผชิญหน้ากันหลายครั้งหลายคราว ซึ่งทำให้เกิดความแตกแยกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนนั้น น่าจะยิ่งทำให้การแก้ปัญหาอย่างแท้จริงเกิดขึ้นได้ยากยิ่ง นักวิเคราะห์บางคนฟันธงอีกด้วยว่าสิ่งที่ทำอยู่ในขณะนี้นั้นมองได้ว่าเป็น การเดินมาผิดทางด้วยซ้ำ เช่น

นาย David Brooks คอลัมนิสต์ของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ อ้าง CBO ว่ารายจ่ายด้านประกันสุขภาพและประกันสังคมจะทำให้หนี้สาธารณะสหรัฐเพิ่มจาก ปัจจุบันที่ 74% ของจีดีพี (โดยนำเงินประกันสังคมที่มีอยู่ 5 ล้านล้านดอลลาร์หักออกจากหนี้สาธารณะที่ 16.4 ล้านล้านดอลลาร์) เป็น 90% ในปี 2012 และเป็น 247% ของจีดีพีในปี 2042 ทั้งนี้รายจ่ายรัฐสวัสดิการและภาระดอกเบี้ยจากหนี้สาธารณะจะเท่ากับรายได้ ของรัฐบาลกลางทั้งหมด (กล่าวคือไม่เหลือเงินที่จะจัดสรรให้กระทรวงต่างๆ เพื่อนำไปใช้บริหารประเทศ) ทั้งนี้เพราะระบบประกันสุขภาพของสหรัฐปัจจุบันกำหนดให้สามี-ภรรยาโดยเฉลี่ย ต้องจ่ายเงิน 109,000 ดอลลาร์เข้ากองทุนประกันสุขภาพ ในขณะที่จะได้รับประโยชน์จากการประกันสุขภาพประมาณ 343,000 ดอลลาร์ ซึ่งนาย Brooks มองว่าประชาชนเป็นผู้กำหนดเงื่อนไขดังกล่าวโดยการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง นักการเมืองให้รักษาเงื่อนไขดังกล่าวเอาไว้ต่อไปอีก ซึ่งจะตกเป็นภาระของลูกหลานชาวอเมริกันในที่สุด แต่ตรงนี้ผมไม่เห็นด้วย เพราะ ผมเชื่อว่าในที่สุดแล้วผู้ที่จะต้องรับภาระการใช้จ่ายเกินตัวของรัฐบาลสหรัฐ จะเป็นเจ้าหนี้ของรัฐบาลสหรัฐมากกว่า เพราะธนาคารกลางสหรัฐจะพิมพ์เงินดอลลาร์ออกมาเป็นจำนวนมาก ทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าเพื่อลดหนี้ในอนาคต

นาย Gregory Mankiw อดีตที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของนาย Romney ผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในการเลือกตั้งปี 2012 ชี้ให้เห็นว่าปัจจุบันคนรวยที่สุด 1% ของสหรัฐ จ่ายภาษีเท่ากับ 28.9% ของรายได้อยู่แล้ว ขณะที่ชนชั้นกลางจ่ายภาษี 11.1% ของรายได้ การที่ประธานาธิบดีโอบามาหวังจะเก็บภาษีจากคนรวยที่มีเพียง 1-2% เพื่อแก้ปัญหาของคน 98% นั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ ตรงกันข้ามไอเอ็มเอฟประเมินว่าการจะแก้ปัญหาการขาดดุลงบประมาณของสหรัฐโดย ถาวรนั้น สหรัฐจะต้องปรับเพิ่มภาษีที่เก็บจากประชาชนทุกคนอีก 35% โดยทันทีและจะต้องเก็บภาษีในอัตราดังกล่าวตลอดไป พร้อมกับการปรับลดผลประโยชน์ที่ประชาชนได้รับจากรัฐสวัสดิการลง 35% ในทันทีเช่นกัน

จะเห็นได้ว่าการถกเถียงกันของนักการเมืองสหรัฐในขณะนี้ห่างไกลจากราก เหง้าของปัญหาอย่างมาก ดังนั้นการมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็น “ข่าวดี” นั้นจึงเป็นการมองโลกในแง่ดีจนน่ากลัวครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...