ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

ฮ่า ถ้าคุณเน็กไม่บอกว่าล้านแล้ว ผมก็ไม่รู้นะเนี่ย ยอดเยี่ยมจริงๆ คุณเน็ก !gd !gd

 

ชอบใจประโยคที่ว่า

 

"ประโยคเหล่านี้นอกจากคนในกระทู้นี้แล้ว ผมแทบจะหาเพื่อนคุยด้วยไม่ได้เลยครับ.....

(นอกจากจะถูกมองว่าเป็น “คนส่วนน้อย” แล้ว ขอโทษนะครับ....หนักไปกว่านั้น บางทีถูกมองว่า “บ้าหรือเพี้ยน” ซะด้วยซ้ำ...)"

 

มากครับ หาคนคุยด้วยไม่ได้จริงๆ เลยต้องหนีมาคุยกันในกระทู้เนี่ยแหละ คุยกับคนอื่นเค้าก็พยายามเปลี่ยนเรื่อง ผมสัมผัสมันได้ !_18

 

555 สงสัยเราคนกลุ่มน้อยเหมือนกัน เป็นแบบเดียวกันเลยครับ !_18 !_18 !17 !17

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ส่วนตัวเขายังมองว่า เป็นไปได้ยากที่ราคาทองจะกลับไปยืนอยู่ที่ระดับ 300-400 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ เหมือนเช่นที่เคยเกิดขึ้นก่อนปี 2000 เพราะราคาทองคำหน้าเหมืองตอนนี้มีต้นทุนอยู่ที่ 800 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์แล้ว ยังไม่รวมพรีเมี่ยมราคาทองคำซึ่งประกันความเสี่ยงเงินเฟ้อและสินทรัพย์ปลอดภัย อีก 600-700 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์

“เชิงเทคนิคผมมองว่าราคาทองคำสิ้นปีที่แล้วได้สร้างฐานที่แข็งแกร่งระดับ 1,200 เหรียญสหรัฐได้สำเร็จ แปลว่าจะไม่มีทางต่ำกว่านี้อีกและปีนี้มีความพยายามจะสร้างฐานใหญ่ที่ 1,300 เหรียญสหรัฐให้ได้”

 

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เขามั่นใจว่าราคาทองจะไปได้อีกไกลเห็นได้จากธนาคารกลางหลายประเทศเริ่มซื้อทองตุนไว้เป็นเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ แม้แต่ประเทศไทยเองก็เพิ่งซื้อไป 8-9 ตัน สังเกตจากเมื่อครั้งที่ธนาคารกลางอินเดียซื้อทองคำไปเก็บรวม 1,000 ตัน หลังจากนั้นมาราคาทองไม่เคยลงมาอีกเลย

 

เขาบอกว่า การเข้าไปเก็บทองคำของธนาคารกลางของประเทศต่างๆที่ส่วนใหญ่จะดำเนินแผนนโยบายแบบ “อนุรักษ์นิยม” มากๆ แสดงความมั่นใจได้ว่าราคาทองคำจะไม่ลงมาง่ายๆ บวกกับเงินค่าเงินดอลลาร์ระยะยาวเริ่มอ่อนค่าลงค่อนข้างชัดเจน ถ้าราคาทองคำไม่หลุดระดับ 1,400 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ไปเสียก่อน เชื่อว่าจะยังคงทำสถิติใหม่ต่อเนื่อง

 

 

ที่มา

 

http://www.ranthong.com/smf/index.php?topic=31044.msg683020;topicseen#new

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณค่ะคุณเน็กซ์สำหรับบทความที่สุดยอดๆๆ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

one-million-view-challenge.jpg

 

 

1 ล้านวิว (1 Million view)

 

สุดยอดและชัดเจนเหมือนเดิมเลยครับ ขอบคุณคุณ NextToNothing ครับ ขอยินดีกับพวกเราทุกๆ คนด้วยเช่นกัน ที่ทะลุ One Million Views

สำหรับผมและภรรยา เป้าหมาย ยังชัดเจนเช่นเดิม สะสม Gold/Silver as Savings ไปเรื่อยๆ มีตังค์พอเมื่อไร เป็นซื้อครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ว้าววว 1 ล้านวิว B)

ขอบคุณ คุณ next สำหรับบทความด้วยค่ะ :D

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณสำหรับบทความที่ดีค่ะ เคยเอาหนังสือ โอกาสทอง1 ให้ลูกชายอ่านอายุ15 ยังชมว่าหนังสืออ่านเข้าใจง่ายและมีความรู้ทางเศรษฐกิจเพิ่มเลยค่ะ :rolleyes:

ขอเป็นคนส่วนน้อยด้วยคนค่ะ :lol: :lol:

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

one-million-view-challenge.jpg

 

 

1 ล้านวิว (1 Million view)

 

วันไหนไม่เข้ามาอ่าน “ตกข่าว” แน่ๆ

ทั้ง “ข่าวสารจริงๆ” ที่เพื่อนสมาชิกนำมาเล่าสู่กันฟัง

รวมถึงประเด็นต่างๆที่ถกกัน หากไม่ได้เข้ามาดู

 

"พรุ่งนี้คุณอาจจะคุยกับเค้าไม่รู้เรื่อง" :lol:

 

**************************************************************************

 

ก่อนอื่นขอพูดถึงกระทู้ โอกาส”ทอง”(จริงๆ) หน่อยนะครับ

เพราะวันนี้เป็นวันที่ มีคนเข้ามาดูทะลุ 1 ล้านครั้ง ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 7-8 เดือน

 

รู้สึกเป็นเกียรติและภูมิใจมากจริงๆ

ผมอยากแบ่งความภูมิใจนี้ให้กับเพื่อนสมาชิกทุกท่านด้วยครับ

เพราะจากสถิติแล้ว ผมโพสเพียงแค่ 650 ครั้ง

ถือเป็นจำนวนที่ไม่มากเลยเมื่อเทียบกับ 1 million view

 

คนที่เข้ามาดูจึงไม่ได้เข้ามาเพราะเจ้าของกระทู้

แต่เข้ามาเพราะมีเพื่อนสมาชิกอีกหลายท่านช่วยกันนำเสนอข้อมูลที่เป็นประโยชน์

ไม่สำคัญว่าจะคิดเหมือนหรือคิดต่าง สำคัญที่ว่าสร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ต่อคนอ่าน

 

คน-จึง-เข้า-มา-อ่าน และแสวงหาความรู้

 

บางความคิดเห็นนั้นแม้แต่ผมเองก็ได้ข้อมูลใหม่ๆ มุมมองใหม่ๆ ไปด้วย

 

ขอขอบพระคุณจากใจจริงครับ

 

ทีนี้มาถึงประเด็นความคิดเห็นที่แตกต่างและคำเตือนจากคุณ Ton

 

ก่อนอื่นผมอยากพูดอย่างนี้ครับว่า

คุณ Ton กับความคิดเห็นต่างๆที่มีการนำเสนอนั้น บางครั้งก็เหมือนคุยกันคนละเรื่อง

ผลที่ออกมาจึงแตกต่างอย่างชัดเจน -ผมมองอย่างนี้ครับ-

 

:excl: 1.หลักการของโอกาส“ทอง”(จริงๆ)นั้นเป็น “ปัจจัยพื้นฐาน”

ในขณะที่หลักการของคุณ Ton นั้นเน้นที่ “จิตวิทยาและปัจจัยทางเทคนิค”

 

:excl: 2.ปัจจัยพื้นฐานนั้น "เหมาะสำหรับนักลงทุนระยะยาว"

ในขณะที่ จิตวิทยาและปัจจัยทางเทคนิคนั้น "เหมาะสำหรับนักลงทุนระยะสั้น"

 

:excl: 3.ด้วยเหตุนี้ปัจจัยพื้นฐานจึงเน้นที่ “การลงทุน”(Investment)

แต่จิตวิทยาและปัจจัยทางเทคนิคนั้นเน้นที่ “การเก็งกำไร” (Speculation)

 

แบบนี้ดูเผินๆจึงเหมือนไปคนละทิศคนละทาง

คุณ Ton มักจะ "พูดถึง" และ "พูดเหมือน" คุณพิชัยอยู่บ่อยครั้ง

 

ผมอยากบอกว่า

แม้แต่ คุณ พิชัยเอง ก็ยังเคยกล่าวว่าการลงทุนในระยะยาวแล้วจะ “ถูกต้องตามปัจจัยพื้นฐาน”

(Clip video รายการ Hard Topic)

 

ผมเองก็ยอมรับเช่นกันว่า "ปัจจัยทางเทคนิคและจิตวิทยาการลงทุน มีส่วนสำคัญและถูกต้องในตลาดเก็งกำไรระยะสั้น"

 

การบอกว่าใครถูกใครผิด จึงเกิดขึ้นไม่ได้

เพราะมองดีๆเราอาจจะ “ถูกทั้งคู่” แต่ “ถูกคนละที่ ถูกคนละเวลา ถูกคนละมุมมอง”

 

ดูกันให้ลึกต่อไปอีก (แนะนำให้อ่านช้าๆ นะครับเดี๋ยวจะงง เพราะตอนพิมพ์ผมก็ค่อยๆพิมพ์เหมือนกัน) :lol:

นั่นก็คือเรื่องของ "จิตวิทยาการลงทุน"

 

นักลงทุนอย่างวอร์เรน บัฟเฟต ที่เป็นไอดอลของใครหลายๆคนรวมถึงคุณพิชัยด้วยนั้น เค้าลงทุนโดย

เน้นปัจจัยพื้นฐานในระยะยาวควบคู่ไปกับจิตวิทยาการลงทุน”ครับ

 

หากใช้ “ปัจจัยทางเทคนิคระยะสั้นควบคู่กับจิตวิทยาการลงทุน” บางครั้งจึงดูขัดแย้ง

 

ยิ่งถ้าเน้นหนักที่จิตวิทยาการลงทุนแล้วล่ะก็ ยิ่งขัดแย้งไปกันใหญ่

นั่นเพราะ "ยิ่งเหตุผลชัด + ยิ่งน่าเชื่อถือในหลักการ + ยิ่งถูกต้องตามปัจจัยพื้นฐาน" ยิ่งต้อง “ขายทิ้ง”

จิตวิทยาการลงทุนที่คุณ Ton ยึดถือนั้นบอกว่าให้คิดต่างและสวนทางกับข้อเท็จจริง !

 

ทฤษฎีแมสก็เป็นเช่นนี้

“ถ้าคนส่วนใหญ่” คิดว่า ทองยังราคาถูกและจะทำนิวไฮ ขึ้นได้เรื่อยๆไม่สิ้นสุด

เหตุผลและปัจจัยทุกอย่างล้วนบ่งชี้ว่า ดอลล่าร์จะล่มสลาย ราคาทองคำจะพุ่งทะยานฟ้า

ตามทฤษฎีนี้ต้อง “ขายทองทิ้ง เพราะราคาจะวิ่งสวนทางกับความคิดของคนส่วนใหญ่และลงอย่างแรง !”

 

แต่ย้ำนะครับว่า “คนส่วนใหญ่ต้องคิดแบบนี้”

ผมเคยบอกไปแล้วว่า ทฤษฎีแมสนั้นไม่ผิด แต่ต้องคิดดีๆว่า คนส่วนใหญ่ตอนนี้คือคนกลุ่มไหน?

 

เอาง่ายๆ หากลองถาม คน 100 คนทั่วไปด้วยคำถามง่ายๆว่า ทองคำตอนนี้ “ถูก” หรือ ”แพง”

ผมเชื่อว่ากว่า 90 คนบอกว่า

 

"แพง"

 

(ผมเห็นมีแต่คนในกระทู้ โอกาส“ทอง” (จริงๆ) นี่แหละที่คิดว่าทองจะขึ้นอีกเยอะ)

ยิ่งคนที่คุณ Ton ใช้คำว่า “กล้าสุดขีด” ที่จะซื้อทอง ณ ระดับนี้

ผมว่าไม่มีหรอกครับ ส่วนมากก็กลัวลงกันทั้งนั้น

แล้วแบบนี้ใครคือ “แมส”?

 

 

 

:rolleyes: กลุ่มคนที่คิดว่า -ดอลล่าร์จะล่มสลายและทองจะกลับมาทำหน้าที่ “เงินที่แท้จริง” ในอนาคต- นั้นมีน้อย

 

:rolleyes: ความคิดที่ว่า “สหรัฐยังไงก็จะกลับมาได้ ดอลล่าร์ไม่ตายง่ายๆและทองคำอยู่ในภาวะฟองสบู่” ต่างหากที่เป็นความคิดของคนส่วนใหญ่

 

 

ลองนึกภาพดูนะครับ ประโยคที่ล้วนบ่งชี้ว่าทองจะขึ้นอย่าง

 

:excl: “เงินคือกระดาษพิมพ์สี อนาคตดอลล่าร์จะเสื่อมค่า ทำให้สกุลเงินต่างๆพลอยเสื่อมตามไปด้วย”

:excl: “ทองคำจะไปบาทละ 30,000-40,000 หรือในระยะยาวทองมีแต่ขึ้น”

 

ประโยคเหล่านี้นอกจากคนในกระทู้นี้แล้ว ผมแทบจะหาเพื่อนคุยด้วยไม่ได้เลยครับ.....

(นอกจากจะถูกมองว่าเป็น “คนส่วนน้อย” แล้ว ขอโทษนะครับ....หนักไปกว่านั้น บางทีถูกมองว่า “บ้าหรือเพี้ยน” ซะด้วยซ้ำ...)

 

 

******************************************************************************************

 

เมื่อเดือนที่แล้ว Marc Faber นักเขียนและนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังจากสวิตเซอร์แลนด์

ได้ไปบรรยายที่สิงคโปร์ให้นักลงทุนระดับ Top Class และผู้จัดการกองทุนฟังถึงทิศทางเศรษฐกิจการเงินโลกในอนาคต

Marc ถามคนในห้องประชุมที่มีกว่า 200 คนว่า

 

ในที่นี้มีใครเก็บทองคำอยู่ในพอร์ทเกิน 5% บ้าง

ปรากฎว่า ไม่-มี-แม้-แต่-คน-เดียว ที่ยกมือ.

 

 

http://www.youtube.com/watch?v=WX6Z2xA-Y08

 

 

หากวันใดทองคำกลายเป็นกระแสหลักในการลงทุนก่อน นั่นแหละครับฟองสบู่ถึงจะเริ่มฟอร์มตัว

 

 

ในระยะยาว ผมเชื่อว่าปัจจัยพื้นฐานจะส่งให้ราคาทองปรับสูงขึ้นต่อเนื่องได้แน่ๆ

ระยะสั้นอาจจะมีการปรับฐานบ้าง ทำกำไรบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดาครับ

 

การบอกว่า 1,500$ คือจุดสูงสุดแล้ว จากนี้ไป จะได้เห็น 1,100-1,200 ผมไม่ขอพูดนะครับว่าเป็นไปไม่ได้

แต่อยากบอกว่า หากเกิดขึ้น ปีนี้จะเป็นปีประวัติศาสตร์ เพราะทองขึ้นราคามาตลอด 11 ปีต่อเนื่อง

หากปีนี้จบที่ 1,100-1,200 ปีนี้จะเป็นปีแรกในรอบทศวรรษที่ “ทองลง”

 

นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ และนับเป็นโชคร้ายอย่างที่สุดสำหรับผู้ที่เพิ่งซื้อทอง ( เพราะขึ้นมาตลอด 11 ปีแต่ปีนี้ดันลง )

 

อืมม....ความเห็นส่วนตัวผมเชื่อว่าเค้าไม่ได้โชคร้ายถึงขนาดนั้นนะ

 

ธรรมชาติของฟองสบู่จะแตกได้ “มันต้องพองก่อนครับ”

ราคาทองคำต้องปรับตัวกระชากขึ้นแรงให้เราเห็นก่อน การปรับตัวขึ้นเฉลี่ยปีละ 18%

โดยประมาณนั้นไม่ใช่การฟอร์มตัวของฟองสบู่

 

การขึ้นของทองไปถึงระดับ 1,570$ ในปีนี้ก็เป็นการปรับขึ้นประมาณ 10% จากต้นปีเท่านั้น

ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ไม่ได้เป็นการ “พอง” หรือขึ้นแบบโอเว่อร์แต่อย่างใด

ขึ้นไปแล้วลดลงมาย่อพัก ยิ่งเป็นการดีด้วยซ้ำ เพราะทำให้ราคาไม่ร้อนแรงมากจนเกินไป.

 

การยึดหลักจิตวิทยาโดนไม่อ้างอิงปัจจัยพื้นฐานเลย ผมว่าอันตราย

ขออภัยจริงๆที่ต้องพูดถึงอีกซักครั้ง แต่ด้วยความเคารพนะครับ

ยกตัวอย่างเพราะคิดว่าเป็นประโยชน์ใช้ประกอบการอธิบาย

นั่นคือในหนังสือ “ลับเฉพาะผู้เกี่ยวข้อง” ของคุณพิชัย จาวลา

 

:( เมื่อ 2 ปีก่อน มีการแนะนำให้ขายทองที่ระดับ 14,000

เพราะมองว่าทองขึ้นเต็มที่ก็ไม่เกิน 15,000 แต่หลังจากนั้นจะตกหนักลงไปเหลือบาทละ 6,000 หรือต่ำกว่านั้น

ภายในระยะเวลา 3-5 ปี ??

 

2 ปีถัดมากลับได้เห็น 22,000 ผิดจากที่คาดการณ์ไปกว่า 350%

 

:( นอกจากนี้ยังคาดการณ์ไปถึงค่าเงินบาทว่า ปี 2553 จะเป็นปีที่เงินบาทอ่อนค่าอย่างหนัก 39 บาทต่อ 1 ดอลล่าร์จะได้เห็น ??

 

ปรากฎว่าปีที่แล้วแข็งจัดได้เห็น 29 บาทแทน

 

ผมเชื่อว่าเค้าใช้หลักการทฤษฎีแมสทางจิตวิทยาที่คุณ Ton บอกว่าเป็น “ศิลป์”

เพราะเหตุผลที่ให้ขายทองของคุณพิชัยนั้น เค้าบอกว่า

 

ที่ระดับ 14,000 มีคลื่นมหาชนกำลังต่อแถวเข้าคิวซื้อด้วยใจ “กล้า”

เนื่องจาก “เหตุผล” ต่างๆล้วนบ่งบอกว่าราคาจะแพงขึ้น

 

อ่านแล้วคุ้นมาก ไม่ต่างจากเหตุผลที่คุณ Ton นำมาเสนอในปัจจุบันเลย..

 

การคาดการณ์แล้วผิดพลาดมีกันได้เป็นเรื่องธรรมดา แต่ผิดแล้วต้องปรับปรุงแก้ไขครับ

ผมเองก็เขียนหนังสือ จากวันแรกที่เขียนกระทู้ทองขึ้นมาแล้วบาทละ 2,400

แนวโน้มดูแล้วเหมือนจะไปได้สวย แต่ก็ยังเหลืออีกมากที่ยังไม่เกิดขึ้น

ในอนาคตหากผิดพลาดไม่เป็นไปอย่างนั้น

 

“ก็ยินดีน้อมรับทุกคำวิจารณ์และนำไปแก้ไขปรับปรุง”

 

บอกแล้วผมเป็นคนไม่ดื้อ หากปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยน ผมดื้อไม่ได้

เพราะจะทำให้ผม “เสียตังค์อย่างหนัก”

 

ผมเองก็ไม่ใช่กูรู หรือ ปรมาจารย์ อะไรที่ไหนอย่างที่เคยได้ออกตัวไว้ก่อนหน้านี้

(ยิ่งบางคนที่เคยเห็นตัวจริงผม กังวลว่าจะหมดศรัทธากันไปเลยด้วยซ้ำ

ยอมรับครับว่า“หน้าไม่ให้”) :lol:

 

ความคิดเห็นของผมให้ถือเป็นความคิดเห็นจาก “นักลงทุนคนหนึ่ง”

ที่เสนอออกไปให้ทุกท่านได้รับไว้พิจารณาก็แล้วกันนะครับ

 

จุดมุ่งหมายไม่ใช่ Leading (ชี้นำ)

แต่อยากให้เกิดการ Thinking (คิดวิเคราะห์) มากกว่า

 

 

จากนี้ไป ก็อย่างที่พูดๆกัน

เวลาเท่านั้นที่จะเป็นคำตอบให้กับทุกสิ่ง

ปัญหามันดันอยู่ตรงที่ “เราอยู่ในเวลานี้” เท่านั้น

ข้อมูลจึงใช้ได้แค่ในอดีต+ปัจจุบัน

เลือกพิจารณารับข้อมูลโดยใช้วิจารณญาณ

+ ลงทุนอย่างรอบคอบและระมัดระวังกันนะครับ :rolleyes:

 

นอกจากบทวิเคราะห์แล้ว

ก็ขออวยพรให้ทุกท่านโชคดีในการลงทุนเหมือนเดิมตามธรรมเนียมครับ :rolleyes:

 

+1 ค่ะคุณ Next หลังจากเปลี่ยนบอร์ดคอมเพราะโดนฟ้าผ่า เพราะใช้สายแลนด์(พูดน่ากลัวเนอะฟ้าผ่า) ตอนนี้เลยใช้แต่wireless พอเข้ามาอ่านก็ได้เจอคุณNext โพสเลย ดีใจจังค่ะ

อาแพทจะเป็นคนส่วนน้อยที่คิดต่างค่ะ :P แต่ตอนนี้จะรอซื้อเงินเม็ดเข้าค่ะ แล้วก็รอปลายปี

ถูกแก้ไข โดย Arpat

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณครับคุณ NEXT

 

ผมยังเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานเช่นเดิม แม้ชื่อจะคล้ายกันแต่ของผมมีตัว 'H' อยู่ด้วย มองสูงขึ้นตลอด มันไม่ "ตัน" หรอกครับ หากจะตันก็คงจะเป็น "ชีวิต" ที่มองแต่ตันตลอด

 

ขอยืนยันว่าไม่ได้ว่าใครจริง ๆ ๆ ๆ

 

ผมเพียงแค่พูดเรื่องมุมมอง หากก้มหน้ามองลงอย่างเดียวก็จะเห็นแต่พื้นดินเท่านั้น

 

หากเงยหน้ามองฟ้า ก็คงจะมองเห็นฟ้าสูง ต่ำลงมาก็เป็นยอดภูเขา กลางภูเขา ตีนภูเขา เนินเตี้ย ๆ ตลอดจนเห็นพื้นดิน อาจลึกลงไปถึงก้นเหวก็ได้ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ

 

ใครมองแบบไหน ชีวิตก็จะเป็นแบบนั้นน่ะครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
post-442-047705500 1305705269.gifคมชัดลึกแจ่มแจ้งกระจ่างจนถึงบางอ้อครับคุณเน็กซ์post-442-060433400 1305705310.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

em0009.gifคุณทัมจัง ขอบคุณที่มาแชร์แนวคิด/ประสบการครับผมเคยพยายามหาราคาไข่ไก่ กับราคาข้าวสารย้อนหลังซัก 10-20 ปี แต่หาไม่ได้นอกจากจะมอง index ต่างๆเช่น AU/USD USD/EUR AU/DJIA ฯลฯ แล้วน่าทำ AU/Egg กับ AU/Jasmin ด้วย จะได้เห็นภาพว่าการลงทุนทองคำ/เงินขาดทุน/กำไรเท่าไหร่ เพราะในที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะกระดาษทีเขียนว่า บาท / USD เม็ดเงิน หรือ ทองคำแท่ง ก็ต้องเอามาซื้อข้าวกินเมื่อถึงเวลา ส่วนตัว ถ้าเค้าฟักดิบกันลงมาถึง 1300 แล้วตอนนั้นผมมีเงิน ผมก็ซื้อฟักดิบครับ

 

ถ้าคุณ mdaddyจะซื้อ "ฟักดิบ"

แนะนำต้มก่อนรับประทานนะครับ ..... (ขออนุญาต ปล่อยมุกลดความเครียดในกระทู้ลง) :lol: :lol:

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณสำหรับบทความที่ดีค่ะ เคยเอาหนังสือ โอกาสทอง1 ให้ลูกชายอ่านอายุ15 ยังชมว่าหนังสืออ่านเข้าใจง่ายและมีความรู้ทางเศรษฐกิจเพิ่มเลยค่ะ :rolleyes:

ขอเป็นคนส่วนน้อยด้วยคนค่ะ :lol: :lol:

 

 

+1 ค่ะคุณ Next หลังจากเปลี่ยนบอร์ดคอมเพราะโดนฟ้าผ่า เพราะใช้สายแลนด์(พูดน่ากลัวเนอะฟ้าผ่า) ตอนนี้เลยใช้แต่wireless พอเข้ามาอ่านก็ได้เจอคุณNext โพสเลย ดีใจจังค่ะ

อาแพทจะเป็นคนส่วนน้อยที่คิดต่างค่ะ :P แต่ตอนนี้จะรอซื้อเงินเม็ดเข้าค่ะ แล้วก็รอปลายปี

 

:excl: ผมว่าลูกชายคุณน้ำใส เป็น "เด็กเก่ง" ครับ

อายุ 15 ผมอ่านแต่การ์ตูน :lol:

 

:excl: คุณอาแพทไปสาบานกับใครใน Thaigold ไว้หรือเปล่าครับ? ฟ้าผ่าคอมพ์เลย ? :blush:

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ล้านแล้วจ้า !Announce

 

ขอบคุณคุณเน็กซ์สำหรับบทความดีๆที่มีมาให้ตลอดครับ !_087

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณสำหรับบทความที่ให้แง่คิดดีๆนะครับคุณNext ส่วนท่านใดถ้ามีเวลาผมอยากให้ช่วยแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับSilverหน่อยครับ

ว่าปัจจัยพื้นฐานยังคงเหมือนทองคำมากน้อยแค่ไหนครับ ยังคงไปในทิศทางเดียวกันทั้งพี่และน้องหรือไม่ครับ ไม่แน่ใจว่ามีธนาคารกลางของประเทศไหนซื้อกักตุนไว้เหมือนอย่างทองคำบ้าง :(

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

จีนลดถือพันธบัตรสหรัฐฯ เดือนที่ 5 กระจายเสี่ยงหวั่นหนี้มะกัน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 พฤษภาคม 2554 14:32 น.

 

เอเยนซี - สื่อต่างประเทศรายงานวันที่ 17 พ.ค. ว่าจีนซึ่งเป็นผู้ถือครองพันธบัตรหนี้รายใหญ่ของรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ลดการถือครองลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ห้า

 

สื่อรายงานอ้างข้อมูลตราสารหนี้ สหรัฐฯ ว่า ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา จีนลดการถือครองพันธบัตรตราสารหนี้สหรัฐฯ ไว้ที่จำนวน 1.145 ล้านล้านเหรียญ ลดลง 9,000 ล้านเหรียญ หรือประมาณร้อยละหนึ่ง จากเดือนก่อนหน้า หลังเคยทำสถิติการถือครองฯ สูงสุดอยู่ที่ 1.175 ล้านล้านเหรียญ ในเดือนตุลาคม

 

การถือครองที่ลดลงนี้ ส่วนหนึ่งมาจากความกังวลของจีนต่อความเสี่ยง เนื่องจากการขาดดุลงบประมาณและภาระหนี้ของสหรัฐฯ ซึ่งล่าสุดคณะบริหารฯ ของนาย บารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้รับรายงานจากกระทรวงการคลังให้เร่งวาง"รากฐานที่มั่นคงทางการเงิน"สำหรับการเติบโตในระยะยาว ขณะที่อดีตที่ปรึกษาธนาคารกลางจีน นายยู่ว์ หย่งติง กล่าวเมื่อเดือนที่แล้วว่า จีนควรจะหยุดซื้อพันธบัตรหนี้สหรัฐฯ เพราะเริ่มมีความเสี่ยงทางด้านการเงินการคลัง

 

ขณะที่ในปีนี้ ข้อมูลตราสารฯ ระบุว่า ผู้ถือครองพันธบัตรหนี้สหรัฐฯ ในสหราชอาณาจักรได้เพิ่มไปถึง 325,200 ล้านเหรียญสหรัฐ มากขึ้น 53,600 ล้านเหรียญ หรือร้อยละ 20

 

รายงานข่าวกล่าวว่า จีนอาจจะค่อยๆ ลดการถือครองพันธบัตรหนี้สหรัฐฯ เพื่อกระจายเส้นทางการถือครองเงินตราต่างประเทศ โดย เย่าเว่ย นักเศรษฐศาสตร์ จาก Societe Generale SA. ในฮ่องกง กล่าวว่า "จีนน่าจะกระจายเส้นทางการซื้อพันธบัตรผ่านจากหลายๆ แห่ง เช่น ผ่านประเทศอังกฤษ ดังนั้น เหตุที่การถือพันธบัตรสหรัฐฯ ของจีน เกิดการเปลี่ยนแปลงนั้น น่าจะเป็นเพราะนักลงทุนจีน ได้ซื้อพันธบัตรสหรัฐฯ จาก "บัญชีของอังกฤษ"แล้ว ซึ่งหมายถึงข้อมูลสหรัฐฯ อาจจะไม่ใช่ภาพเต็มทั้งหมดของสัดส่วนการถือครองพันธบัตรหนี้ฯ

 

ทั้งนี้ พรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครต กำลังหารือกันในประเด็นการขยายเพดานเงินกู้เพิ่มจากเดิม ที่กฎหมายระบุไว้ 14.3 ล้านล้านเหรียญ เพราะหนี้สาธารณะกำลังจะชนเพดานภายในเดือนพฤษภาคมนี้ และรัฐบาลเรียกร้องสมาชิกสภาฯ แก้ไขเพดานเงินกู้ให้สูงขึ้น เพื่อป้องกันหายนะต่อทั้งเศรษฐกิจและประชาชนอเมริกันทั้งประเทศ โดยประธานาธิบดีโอบามา ได้กล่าวว่าความล้มเหลวที่จะบริหารหนี้ อาจสร้างปัญหาต่อระบบการเงินโลก และนำประเทศไปสู่ภาวะถดถอยอีกรอบ

 

พอดีอ่านเจอเลยก็อปมาฝากเพื่อนค่ะ :rolleyes:

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...