ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

us_silver_coins.jpg

 

 

 

โอกาส"เงิน"(จริงๆ):Silver Opportunity

 

 

เงิน เงิน เงิน......ทำไม “เงิน” (Silver) ถึงไม่ใช่ “เงิน” (Money)

เราเรียกสิ่งที่เราต้องการและแสวงหาว่า เงิน แต่กลับใช้กระดาษแทน “เงิน”

เงิน (Money) ถูกเรียกว่าเงิน (Silver) สองอย่างนี้แค่ พ้องเสียง หรือมีอะไรมากกว่านั้น ?

 

-หากว่าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันทำไมเรียกเงินว่าเงิน

 

-หากว่าเกี่ยวข้องกันเลยเรียกว่าเงิน ทำไมในชีวิตจริง ถึงดูเหมือนมันเป็นของคนละอย่าง?

 

-หากว่าอ่านแล้วมึน ลองย้อนอ่านตั้งแต่ต้นใหม่ ช้าๆ :]

 

วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่อง เงิน (Silver) กัน

 

........................................................................

 

ในอดีตเงิน(Silver) กับ เงิน(Money) คือของอย่างเดียวกันครับ

เราใช้เงินพดด้วง ในการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้า เงินทุกเม็ดทุกก้อนจะถูกตรวจสอบความบริสุทธิ์

ให้ได้มาตรฐานเดียวกัน เสร็จแล้วจะทำการ “ประทับตรา”

จากทางราชการลงไป เป็นการยืนยันให้ดูน่าเชื่อถือ เราจึงเรียกระบบนี้ว่าระบบ “เงินตรา”

 

ในบทความเรื่อง “เงินคืออะไร ?” คงจำกันได้ สิ่งที่ผ่านการคัดสรรว่าสมควรทำหน้าที่เงิน คือ

กลุ่มโลหะมีค่า (Precious Metals)

 

ทองคำและเงิน (Gold and Silver) นั้นถูกใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่ เงินนั้นเปรียบไปก็เหมือนแบงค์ย่อย

การซื้อขายสินค้าในชีวิตประจำวันที่มีราคาไม่สูงมากจึงใช้เงินมากกว่าทองคำ (ที่เปรียบเสมือนแบงค์ใหญ่)

บทบาทและหน้าที่ของเงิน ในการเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน (Medium of exchange)

ดูจะเด่นกว่าทองคำด้วยซ้ำไป จึงไม่น่าแปลกที่คนเราจะเรียกเงินที่ใช้ในชีวิตประจำวันบ่อยๆว่า “เงิน”(Money)

 

แต่เมื่อระบบ ธนบัตรกระดาษ เข้ามามีบทบาท

หน้าที่การเป็นแบงค์ย่อยของเงินก็ถูกแทนที่ แม้แต่ทองคำก็ยังถูกจับขังอยู่แต่ในเซฟ

 

การจับจ่ายใช้สอย มีความคล่องตัวมากขึ้น ไม่ต้องพกทองคำหรือเงินหนักๆ

จะใส่เลขราคาที่หน้าตั๋วเท่าไหร่ก็ใส่ได้ ไม่ว่าจะใบราคา 10-20 หรือแม้แต่ใบละ 1,000,000,000

ระบบนี้เหมือนจะดี แต่หลังจากนั้นจนถึงวันนี้เกิดปัญหาอะไรขึ้นบ้างเราก็ได้พูดถึงกันไปแล้ว

ทองคำและเงินจึงกลายสภาพเป็นแค่โลหะในความเข้าใจของคนทั่วไป

ส่วนธนบัตรกระดาษ ถูกเข้าใจและได้รับการยกย่องว่าเป็น"เงิน"แทน

 

“เงิน”(Silver)จากที่เคยได้รับการยกย่องอย่างสูงส่งว่าเป็น"เงิน"(Money) สมกับชื่อของมัน

ปัจจุบันกลับถูกกลายสภาพให้เป็นแค่โลหะ จะมีค่าก็แค่ใช้ในอุตสาหกรรม หากจะพูดให้เป็นละครหน่อยก็ต้องบอกว่า

จาก “เทพธิดาที่มีแต่คนเคยยกย่องเชิดชู ต้องตกอับกลายสภาพเป็นแค่ สาวโรงงานเท่านั้น”

 

เรื่องมันเศร้า......................................

 

แต่มันเหมาะสมและยุติธรรมแล้วหรือ ? ในภาวะที่ระบบเงินดอลล่าห์และธนบัตรกระดาษทุกสกุลกำลังเข้าสู่ช่วง วิกฤตศรัทธา

เงินที่แท้จริงอย่าง “ทองคำ” เริ่มกลับมามีบทบาทและปรับมูลค่าของตัวเองให้สูงขึ้น

หลายคนเริ่มให้ความสนใจหลายคนเริ่มพูดถึง หากว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับทองคำเป็นเช่นนี้แล้ว

เงิน ซึ่งเปรียบเสมือนลูกพี่ลูกน้องกับทองคำล่ะ? จะมีบทบาทอย่างไร ?

 

เรามาเจาะลึกกันครับ

 

:excl: ความลับ+ความจริง ข้อที่ 1 : ราคาของเงิน (Silver Price)

 

ราคาของเงินนั้น อยู่ประมาณ 30$ (หรือประมาณ 450 บาทต่อบาท)

ในขณะที่ทองคำราคา 1400$ (บาทละ 20,000)

 

คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่า?

 

ทำไมทองคำถึงแพงกว่าเงิน ?

 

บ่อยครั้งที่ผมถามคำถามนี้ คำตอบที่ผมมักจะได้รับก็คือ

 

“เพราะทองหายากกว่าเงิน หรือไม่ก็ เพราะทองมีน้อยกว่าเงิน”

 

สูดลมหายใจเข้าลึกๆนะครับ หากสายตาของท่านเดินทางมาถึงบรรทัดนี้

โปรดอ่านอย่างช้าๆและตั้งใจ เพราะความจริงแล้ว บนโลกเราวันนี้

 

“เงินมีน้อยกว่าทองคำ!” (Silver rarer than Gold) นี่คือข้อเท็จจริง

 

ขอย้ำอีกรอบ “เงินมีน้อยกว่าทองคำ!” ครับ หากตอนนี้คุณมีคำถามผุดขึ้นในใจว่าแล้วถ้าอย่างนั้นมันเกิดบ้าอะไร ?

ทำไม? ทองคำถึงแพงกว่าเงินมากขนาดนี้ เก็บความสงสัยไว้ก่อนนะครับ มาว่ากันต่อ

 

ในอดีตนั้นยอมรับว่าปริมาณของเงินนั้นมีมากกว่าทองคำ แต่เนื่องจาก 95% ของเงินที่ขุดขึ้นมาได้นั้น

ที่ผ่านมาถูกใช้แล้วสูญสลายหมดไปในอุตสาหกรรม ในขณะที่ทองคำนั้นคงอยู่ตลอดผ่านกาลเวลา

สิ่งนี้ทำให้เงินเริ่มจะร่อยหลอ จนเข้าสู่ภาวะขาดแคลน

 

หากจะเทียบ ราคาของ ทองคำ:เงิน (Gold / Silver ratio) ณ. ขณะนี้นั้นจะอยู่ที่ประมาณ 45 : 1

หรือพูดง่ายๆว่า ทองคำแพงกว่าเงิน 45 เท่าตัวนั่นเอง

บอกว่าโลหะเงินมีน้อยกว่าทองคำ แต่ราคากลับถูกกว่า อย่างมาก ฟังดูขัดแย้งอย่างรุนแรง ???

 

งานนี้ต้องไล่ดูกันหน่อยครับ

 

 

silver.jpg

 

 

กราฟนี้คือ กราฟสถิติอัตราส่วนของราคาทองคำต่อเงิน(Gold/Silver ratio)

 

-ในอดีตตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษเรา อัตราส่วนนี้คงที่อยู่ที่ระดับ 16:1 หลายร้อยปีครับ

จนกระทั่งถึงปี 1892 อัตราส่วนก็เริ่มมีการแกว่งตัว สาเหตุที่ต้อง 16:1 นั่นเพราะปริมาณการผลิต Silver นั้นมากกว่า Gold

อยู่ 10-16 เท่า จึงสมเหตุสมผลที่ราคาทองคำจะแพงกว่าเงิน 16 เท่า

 

-หลังจากนั้นราคาผันผวนอัตราส่วนปรับสูงขึ้นอย่างมาก มากถึง 40 : 1 แต่สุดท้ายก็ตกกลับมาหาความจริงคือ 16 : 1

 

-ในปี1942 ประธานาธิบดีธีโอดอ รูสเวลต์ ประกาศใช้นโยบายยึดครองทองคำจาก

ประชาชนชาวอเมริกัน (Confiscated gold)แล้วนำมาปรับมูลค่าใหม่จาก 20$/oz ไปตรึงราคาไว้ที่ 35$/oz

(ราคาทองคำจึงเพิ่มสูงขึ้น 75%)อัตราส่วนจึงเทคตัวขึ้นไปเกือบ 100:1

 

-แต่หลังจากมีการประกาศใช้ระบบเบรตตัน อัตราส่วนก็ตกกลับมา 16:1 ดังเดิม

 

-ปี1971 เมื่อนิกสัน ประกาศยกเลิก (Gold Standard)

ตัดความสัมพันธ์ระหว่างทองคำกับดอลล่าห์ ราคาทองเริ่มปรับตัวสูงขึ้นอีกครั้ง อัตราส่วนจึงปรับขึ้นไปอีกครั้งอยู่ที่ประมาณ 50 :1

ในขณะเดียวกันกับที่ครอบครัวพี่น้องตระกูล Hunt เล็งเห็นโอกาสจากราคาเงินที่ยังไม่ขึ้นสูงเข้าซื้อสะสม Silver

ในปริมาณมหาศาลทำให้ราคาของ Silver พุ่งสูงสุดทำสถิติถึง 52$/oz ราคาทองคำเองก็พุ่งทำสถิติสูงถึง 850$

อัตราส่วนจึงตกกลับมาอยู่ที่ 16:1 อีกครั้งในปี 1980

 

-พอล วอค์เกอร์ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 20% ประกอบกับมีการประกาศใช้ กฎSilver Rule 7

เพื่อเข้าควบคุมกับเทรดและสกัดการปั่นราคาเงินของพี่น้องตระกูล Hunt ทั้งกระทิงทองและเงินถูกน็อค

แต่เงินนั้นโดนหนักกว่า อัตราส่วนจึงปรับสูงขึ้นไปอีกครั้งแตะระดับ 96:1

 

-จากนั้นค่อยๆ ลดต่ำลงๆ จนมาถึงทุกวันนี้อยู่ที่ 45:1

 

คุ้นๆ มั๊ยครับ ?? หากจำเรื่อง Dow/gold ratio= 1:1 กันได้

การเคลื่อนไหวของกราฟ ผ่านกาลเวลามีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน

หนำซ้ำ ทุกครั้งเวลาที่ Dow : Gold Ratio กลับมาสู่ระดับ 1:1 ยังเป็นปีเดียวกับที่ Gold Silver ratio กลับสู่ระดับ 16 : 1 อีกด้วย

 

 

.....ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน

 

นั่นเพราะเมื่อเวลาผ่านไป ใครก็ตามที่พยายามจะบิดเบือนราคา มันไม่สามารถที่จะหนีความจริงไปได้พ้น

ถึงจุดนึง สินทรัพย์ทุกอย่างจะปรับมูลค่าของตัวเองเข้าสู่ ราคาที่แท้จริง ในอดีตนั้น

อัตราส่วนทองคำแพงกว่าเงิน 16 เท่า ถือเป็นค่าเฉลี่ย การที่อัตราส่วนอยู่ที่ระดับ 45 : 1

ในขณะนี้จึงมองได้สองมุม

 

1.ราคาทองแพงเกินไป (Overvalue)

 

2.ราคาเงินถูกเกินไป (Undervalue)

 

ที่ผ่านมาผมได้อธิบายและแสดงให้คุณเห็นแล้วว่า ราคาทองคำไม่ได้แพงเกินมูลค่ามันเลย

ลู่วิ่งของทองคำนั้นยังเหลือ Upside อีกมาก นั่นทำให้แท้จริงแล้ว ราคาของเงินต่างหากที่ถูกแสนถูก

แต่ยังมีอะไรมากกว่านั้นครับ ตามกันต่อ

 

:excl: ความลับ+ความจริง ข้อที่ 2 : ปริมาณของเงิน (Silver Supply)

ปริมาณแร่เงินที่อยู่บนโลกของเรา ลดปริมาณลงอย่างรวดเร็ว จากกว่า 1 หมื่นล้านออนซ์ปี 1950 บัดนี้เหลือไม่ถึง พันล้านออนซ์ (ลดลงกว่า 10 เท่า)

ในขณะที่ปริมาณทองคำปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 7 พันล้านออนซ์ นั่นทำให้

ปริมาณทองคำทุกวันนี้มีมากกว่าแร่เงินถึง 7 เท่า !!!

การลดลงอย่างรวดเร็วของแร่เงินนั้นหากเทียบกับสัตว์ป่า คงต้องบอกว่า โลหะเงินมีโอกาสจะ “สูญพันธุ์” ในทศวรรษนี้กันเลยทีเดียว

 

ด้วยความจริงข้อนี้ หากวันใดโลกเราหมุนกลับตาลปัตร ราคาเงินกลับมาสูงเทียบเท่ากับราคาทองคำหรือแม้แต่กระทั่งแพงกว่าทอง

ผมก็จะไม่แปลกใจเลย เพราะ ความจริง มันเป็นอย่างนี้ แต่อย่าเพิ่งไปบอกต่อให้ใครฟังนะครับ เดี๋ยวเค้าจะว่าเราเพ้อๆ

เอาเป็นว่า ด้วยปัจจัยพื้นฐานแบบนี้ เราก็พอจะรับรู้ได้ถึง “ราคาของเงินที่แสนจะต่ำเหลือเกิน”

 

:excl: ความลับ+ความจริง ข้อที่ 3 : ประโยชน์ ของ แร่เงิน (Utility of Silver)

 

ในอดีตนั้นอย่างที่บอก ทองคำนั้นถือว่ามีบทบาทและทำหน้าที่เป็นเงินที่แท้จริง แต่ เงิน (Silver)ก็เช่นกัน

หากจะมีข้อได้เปรียบกันก็ตรงที่ ทองคำนั้นไม่ทำปฏิกิริยากับอากาศ คงคุณค่าผ่านกาลเวลาในขณะที่เงินนั้น

จะออกเหลืองหม่นหรือดำ

 

อย่างไรก็ตาม หากนำมาขัด(Polish)หรือชุบใหม่

เงิน ก็สามารถกลับมาสวยได้ดังเดิม หลักฐานคือ เหรียญเงินโบราญสมัยโรมัน ทุกวันนี้ก็ยังคงสภาพอยู่ได้

นั่นหมายความว่า ในฐานะ สื่อกลางในการแลกเปลี่ยนแล้ว เงิน(Silver)ทำหน้าที่ควบคู่กับทองคำไปได้ดีไม่น้อยหน้ากัน

 

ในขณะที่สิ่งที่เงินมี แต่ ทองคำไม่มีนั่นก็คือ ประโยชน์ใช้สอยในอุตสาหกรรม (Industrial Use)

ในบทบาทนี้นั้น แร่เงิน วิ่งแซงทิ้งขาดทองคำแบบไม่เห็นฝุ่น

 

รายละเอียดมีดังนี้ครับ

 

เป็นโลหะที่เงาที่สุดในโลก : แร่เงินถูกใช้ฉาบด้านหลังกระจกเพราะความเงาแบบสุดๆ ของมัน

 

เป็นโลหะตัวนำไฟฟ้า : เงินถูกใช้เป็นส่วนประกอบในการผลิต ไมโครเวฟ เครื่องซักผ้า

เครื่องยนต์รถ เครื่องล้างจาน อุตสาหกรรมโทรทัศน์ แม้แต่ขณะที่ผมกำลังพิมพ์คีย์บอร์ดอยู่นี้ Silver ก็ยังแฝงตัวอยู่ใต้ปุ่มแต่ละปุ่ม

ที่ผมกดเพื่อทำหน้าที่เป็นตัวนำไฟฟ้า

เป็นโลหะที่ใช้ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย : ถูกใช้เป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตยา Antibiotic ,

สารละลายซิลเว่อร์ สามารถรักษาแผลไฟไหม้หรือติดเชื้อ ในขณะที่ซิลเว่อร์ไนเตรตใช้ล้างตาให้กับเด็กที่เพิ่งคลอด

นอกจากนั้นยังเป็นส่วนประกอบสำคัญในการทำน้ำดื่มให้บริสุทธิ์อีกด้วย

 

เป็นโลหะที่ใช้เป็นส่วนประกอบในเครื่องดนตรีบางชนิด:เช่น ฟลุต

 

เป็นโลหะที่ใช้ในอุตสาหกรรมภาพถ่าย : ในภาพถ่ายใช้ซิลเว่อร์เป็นส่วนประกอบหลัก

รูปถ่ายทุกใบที่เราไปรับมาจากร้านถ่ายรูป ไม่ว่าจะไปเที่ยวมาหรืองานสำคัญในโอกาสต่างๆ

ล้วนมีซิลเว่อร์ทำหน้าที่ช่วยบันทึกความทรงจำไว้ให้ ไม่เว้นแต่ในการผลิตฟิลม์ภาพยนต์หรือฟิลม์ X-ray

 

เป็นโลหะที่ใช้ในอุตสาหกรรม เครื่องประดับ : ทองคำทำเครื่องประดับอะไรได้ เงินก็ทำได้เช่นกัน

ไม่ว่าสร้อย แหวน ต่างหู กำไล นอกจากนั้น พวก เครื่องครัว (Table ware) เช่น ช้อน-ส้อม-ตะเกียบเงิน

ก็ยังมีในรูปแบบของ ซิลเว่อร์ด้วย

 

เป็นโลหะที่ใช้ในสินค้าไอที : เครื่องมือไฮเทคไม่ว่าจะไอโฟน (Iphone) ไอแพด (Ipad)

หรือ บีบี (Blackberry) คอมพิวเตอร์แผ่นซีดีหรือดีวีดี ล้วนมีส่วนประกอบของซิลเวอร์ อยู่ทั้งนั้น

 

 

เงินยังถูกใช้ในอุตสาหกรรมเสื้อผ้า แบตเตอร์รี่ เลเซอร์ และอื่นๆ อีกมากมาย

ที่สำคัญเป็นโลหะที่ลักษณะเด่นเฉพาะตัว ไม่สามารถใช้โลหะชนิดอื่นมาทดแทนได้

นั่นทำให้เมื่อปริมาณแร่เงินขาดแคลนและราคาปรับตัวสูงขึ้น โรงงานอุตสาหกรรมก็ยังจำเป็นต้องซื้อเงินที่ราคาสูงอยู่ดี

เพื่อให้ไลน์การผลิตสามารถดำเนินการต่อไปได้

 

ต่อให้ราคาเงินสูงขึ้นอีกเท่าตัว ผมเชื่อว่าภาคอุตสาหกรรมและเครื่องประดับนั้นไม่มีผลกระทบอะไรมากมายถึงกับต้องหาแร่ตัวอื่นมาแทน

ซิลเวอร์ นั่นเพราะทุกวันนี้ ต้นทุนของการผลิตสินค้าและการคิดราคาขาย แทบจะไม่เกี่ยวข้องกับราคาของ ซิลเว่อร์ เลย

 

ยกตัวอย่างเช่น Iphoe-Ipad ที่ขายแพง ไม่ได้แพงเพราะซิลเว่อร์ ซิลเว่อร์เป็นเพียงส่วนประกอบเล็กๆในตัวเครื่องเท่านั้น

แหวนเพชรตัวเรือนเงินราคาเป็นแสน ก็ไม่ได้แพงเพราะ ตัวเรือนเงิน แต่แพง “เพชร” นั่นทำให้การปรับขึ้นราคาของ

ซิลเว่อร์ กระทบภาคอุตสาหกรรมไม่มาก(ยกเว้นราคาจะพุ่งสูงเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้เยอะจริงๆ)

 

:excl: ความลับ+ความจริง ข้อที่ 4 : การบิดเบือนราคาของเงิน(Price Manipulation in Silver)

 

ด้วยเหตุและผล ข้่างต้นที่กล่าวมา ราคาที่"ต่ำ"ของเงินจึงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เลย นอกจากโดน"กด" เอาไว้

คงจำกันได้ว่าราคาทองคำนั้นโดน “กด” ราคาให้ต่ำกว่าความเป็นจริง ด้วยการเปิดสัญญา Short ปริมาณมหาศาลของทองคำกระดาษ

เงินเอง ก็ไม้พ้นที่จะโดนด้วย เว้นเสียแต่ว่าโดนในปริมาณที่มหาศาลยิ่งกว่า

 

แรกเริ่มเดิมทีนั้น บริษัท Bear Stearns ที่เชื่อว่าตกเป็นเครื่องมือของรัฐบาลอเมริกาเป็นผู้ถือครอง สัญญา Short นี้ไว้

เรื่องมาแดง + ความมาแตก เอาเมื่อ วิกฤตเศรษฐกิจในสหรัฐปี 2008 บริษัท Bear Stearns โดนหางเลข

ล้มละลายตามไปด้วย

 

วันที่ Bear Stearns ล้มละลาย ตรงกับวันที่ราคา Silver พุ่งทะยานฟ้าแตะระดับสูงสุดที่ 21$/oz (สูงที่สุดในรอบยี่สิบปีพอดี)

 

จะว่า “บังเอิญ” ก็คงไม่ใช่ ควรจะเรียกว่า“บังอาจ” มากกว่า บริษัทเอกชนและสถาบันการเงินขนาดใหญ่

หลายแห่งเป็นเครื่องมือของรัฐในการกดและปั่นราคาสินค้าโภคภัณฑ์หลายตัว กระทำกันได้อย่างน่ารังเกียจ

 

อาจจะเพราะด้วยเหตุนี้ รัฐบาลของสหรัฐในขณะนั้นจึงตัดสินใจ “อุ้ม” (Bail out) Bear Stearns แล้วให้

พี่ใหญ่อย่างบริษัท JP morgan เข้ามารับช่วงสัญญา Short ของ Silver เพื่อกดราคาต่อ

 

หากไม่ทำอย่างนี้ ธนาคารกลางของสหรัฐนั้นรู้ดีว่า การบีบสถานะช๊อต (Short squeeze) จะเกิดขึ้นกับตลาด Silver

ราคาของเงินจะพุ่งสูงขึ้นกว่า 50$/oz ภายในเวลาเพียงข้ามคืน

ถ้าเป็นอย่างนั้น ทุกอย่างจะดูผิดสังเกต และ เงินดอลล่าห์ของสหรัฐก็จะดูขาดความน่าเชื่อถือ

เมื่อราคาของเงินที่แท้จริงมันฟ้องเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับตัวเอง

 

ทุกวันนี้ราคาของเงินที่ระดับ 30$ นั้นต้องบอกว่าถูกซะยิ่งกว่าถูก สามสิบปีที่แล้ว

ราคาเงินทำสถิติ สูงสุดตลอดกาลที่ระดับ 52$ นั่นเท่ากับว่าราคา ณ ตอนนี้ ถูกกว่าเมื่อ 30 ปีที่แล้วซะอีก

ลองมองไปรอบตัวคุณวันนี้ มีของอะไรบ้างที่ราคาถูกกว่าเมื่อ 30 ปี ที่แล้ว???

ผมเองหาไม่เจอ จะมีก็แต่ Silver เท่านั้นที่ราคายังถูกกดให้ต่ำ

 

เมื่อเทียบกับราคาทองคำ ปรับตามอัตราเงินเฟ้อ (Inflation adjust) กันแล้ว

ถือว่าถูกกว่าเมื่อสามสิบปีก่อน แต่สำหรับเงินนั้นถูกกว่าโดยไม่ต้องปรับตามอัตราเงินเฟ้อเลยด้วยซ้ำ

พูดง่ายๆว่า “ถูกกว่า (ตามที่ตา)เห็นๆ กันเลย”

 

ปริมาณสัญญาที่ Short แร่ silver เอาไว้นั้นมากกว่าสินค้าโภคภัณฑ์ตัวอื่นๆทั้งหมดเท่าที่มีในตลาด

ราคาของมันจึงต่ำมากเหลือเกิน

 

100911_days-of-production.png

 

จากกราฟแสดงถึง จำนวนวันของการผลิต เพื่อที่จะชดเชยการเปิดสัญญา Short

เอาไว้ของขาใหญ่เจ้าต่างๆจะพบว่า ซิลเว่อร์นั้นมีความเข้มข้น(Concentratation)ของการเปิดสัญญา Short

มากที่สุดเหนือสินค้าโภคภัณฑ์ตัวอื่นๆ

 

(โดยจะต้องใช้เวลาการผลิต Silver ถึง 132 วันเพื่อ Cover Short จากขาใหญ่ 4 เจ้า

และ 174 วันสำหรับขาใหญ่อีก 8 เจ้าถึงจะสามารถมีปริมาณ Silver ส่งมอบได้พอกับที่เปิด Short เอาไว้)

 

Mike Maloney ผู้เชี่ยวชาญทางด้านโลหะมีค่า ถึงกับเคยกล่าวไว้ว่า

แร่เงินนั้นถูกซะยิ่งกว่าดิน “Silver cheaper than dirt”

 

เหตุที่เป็นแบบนั้นก็เพราะ หากคุณ ขุดดินขึ้นมาขายคุณแทบจะไม่มีต้นทุน ขายเท่าไหร่คุณก็ยังพอมีกำไร

แต่หากคุณต้องการจะขุดเงินขึ้นมาขาย ราคาขายตามราคาตลาดนั้นต่ำกว่าต้นทุนการขุด (Mining cost)

นั่นทำให้คุณ “ขาดทุน” เมื่อมองในมุมนี้จะว่า เงินนั้นถูกซะยิ่งกว่าดินก็คงจะไม่ผิด

 

เป็นแบบนี้คุณอาจจะสงสัยว่าแล้ว เหมืองเค้าจะผลิต Silver กันมาทำไม ?

ความจริงก็คือ บนโลกเราทุกวันนี้แทบจะไม่มีเหมืองไหนเลยที่ทำการผลิต Silver เพียงอย่างเดียว

นั่นเพราะหากทำเช่นนั้นเค้าจะขาดทุน แต่ละเหมืองนั้น จะทำการขุดพวก ถ่านหิน ทองแดง สังกะสี แร่หลายๆอย่างเพื่อทำการจำหน่าย

แต่ บังเอิ๊ญ มันติดเอา Silver ขึ้นมาด้วยเค้าก็จะทำการจำแนกขายทอดตลาดออกไป

แต่ไม่ใช่แร่ที่เป็นรายได้หลักของเหมือง เมื่อเป็นเช่นนี้ ต้องขอขอบคุณพวกขาใหญ่ที่กดราคาตลาดของ Silver เอาไว้

ซะด้วยซ้ำทำให้เราได้มีโอกาส ซื้อในราคาที่ถูก ทำให้เราได้มีโอกาส เจอกับ โอกาสเงิน (จริงๆ)!!

 

หากผมนั้นสามารถเลือกลงทุนได้ในสินทรัพย์เพียงอย่างเดียว เท่านั้น สิ่งที่ผมจะเลือกลงทุน ไม่ใช่ อสังหาริมทรัพย์

ไม่ใช่หุ้นทุกตัวบนกระดาน SET แต่จะเป็น แร่เงิน (Silver)

 

ปีที่ผ่านมาหากคุณตื่นเต้นกับราคาทองคำที่ขึ้นมาถึง 20% ผมอยากให้คุณลองย้อนกลับไปดูราคาเงิน

จะพบว่าภายในปีเดียวกัน Silver ขึ้นถึง 100% !!!(จาก15$ มาเป็น 30$ ในวันนี้)

 

นี่คือ “พระเอกตัวจริงของเรา” ที่วิ่งมาอย่างเงียบๆ

 

สิบปีที่ผ่านมา ทองคำได้รับการยกย่องจากสำนักข่าว Bloomberg ว่าเป็น การลงทุนที่ดีที่สุดในทศวรรษ

แต่สิบปีจากนี้ไปผมมีความเชื่อมั่นอย่างมากว่า จะเป็นทีของ Silver ที่จะได้รับตำแหน่งนี้

 

น่าเสียดายที่บ้านเราไม่มีการเทรดซิลเว่อร์ กันอย่างแพร่หลายเหมือนในต่างประเทศ

น่าเสียดายที่บ้านเราไม่มีเงินแท่งหรือเหรียญเงินขายกันอย่างแพร่หลายเหมือนอย่างในจีนหรือสหรัฐอเมริกา

 

แต่ก็ยังไม่หมดหวังเพราะบ้านเรามี “เงินเม็ด” (Silver Grain)

ซึ่งเป็นเงินที่อยู่ในรูปเมล็ดพร้อมสำหรับการใช้งานในอุตสาหกรรมและการผลิตเครื่องประดับ

หากคุณคิดอยากจะลงทุน คุณสามารถหาซื้อได้ แม้ตอนนี้สภาพคล่องยังไม่ค่อยดีเมื่อเทียบกับทองคำ

แต่ผมเชื่อว่าต่อไปในอนาคตตลาดจะเปลี่ยนไปและความต้องการจะมากขึ้นๆๆ ทั้งจากภาคอุตสาหกรรมและการลงทุน

พร้อมๆกับราคาที่สูงขึ้นเรื่อยๆ

 

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน โอกาสทอง (จริงๆ) ครั้งที่ 1 ราคาทองคำขึ้นสูงทำสถิติ แต่

ราคาของเงินนั้นก็ขึ้นตามไปด้วยประวัติศาสตร์ดูเหมือนกำลังจะซ้ำรอย

 

เราจะได้เห็น

 

:excl: อัตราส่วนของ Gold : Silver ratio กลับมาที่ระดับ 16 :1 อีกครั้ง(หรืออาจจะน้อยกว่านั้นตามปัจจัยพื้นฐานที่พูดไว้ข้างต้น)

 

:excl: พร้อมๆกับที่ Dow : Gold Ratio ปรับมาเป็น 1:1 พร้อมๆกัน

 

ทองคำนั้นขึ้นแน่ๆ แต่สำหรับ เงินนั้น คงจะขึ้นมากกว่า (Outperform)

วิกฤตเศรษฐกิจและการเงินที่กำลังจะเกิดขึ้น คู่พี่น้อง “ทองกับเงิน” (Gold and Silver)ที่ถือว่าเป็นเงินที่แท้จริง(Real Money)

กำลังจะปรับมูลค่าตัวเอง และกลับมามีบทบาทสำคัญในโลกการเงินอีกครั้ง

 

หากรู้อย่างนี้แล้ว คำถามคือ ไม่อยากจะซื้อเงินเก็บไว้บ้างเลยเหรอครับ ? นี่แหละครับคือ เงินแท้ๆ เงินที่ใครๆอ้างว่าเป็นพระเจ้า

เงินที่หลายคนทำงานเพื่อมันและแสวงหา แท้จริงแล้ว น้อยคนเหลือเกินที่เคยได้สัมผัสกับ เงิน(Silver)ที่แท้จริง ให้สมกับชื่อของมัน

 

โอกาสยังมีครับ การยืนเหนือราคา 30$/oz ได้อย่างมั่นคงของแร่เงิน เป็นสัญญาณที่บอกว่า

ความสามารถในการกดราคาของ Jp morgan อ่อนกำลังลง และเมื่อวันใดที่เค้าไม่สามารถกดไว้ได้อีกต่อไป

เมื่อนั้นแหละครับที่เราจะได้เห็น โอกาสของเงิน(จริงๆ) (Silver Opportunity)

กราบขอบพระคุณ สำหรับ ออเดริฟ รับปีใหม่ เป็นที่น่าคิดและติดตามต่อปายอย่างมาก ๆ เลยคะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวัสดีปีใหม่ค่ะ อาจารย์เน็กซ์

ขอให้อาจารย์ มั่งมีศรีสุข นะคะ

 

มีทองเค้านับเป็นพี่ มีเงินเค้านับเป็นน้อง

อยากมีท้้ง 2 อย่างเลย >< ขยันกันมีโอกาสจริงๆ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

:wub: :wub: :wub: :wub: :wub:

 

 

ขอบคุณคุณเนกซ์ค่ะ ข้อมูลแน่นจริงๆ อิ่มกว่าไปงานเลี้ยงใดๆเลยจริงๆค่ะ

 

 

 

!thk !thk !thk !thk !thk

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

+1 ครับกับความรู้รับปีใหม่ ขอให้คุณ Next ร่ำรวยยิ่งๆ ขึ้นไป และมีความสุขตลอดปีใหม่นี้ครับ :lol: :lol: :lol:

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เคยอ่านเรื่องเงินตั้งแต่คุณน้องดำเขียนมาอยู่พักหนึ่งแล้วคะ พออาจารย์มาให้ข้อมูลเพิ่มก็น่าสนใจมากขึ้น แล้วเราจะซื้อขาย

ได้ที่ไหนคะ อยากจะค่อยๆเก็บเล็กเก็บน้อยไปเรื่อยๆก่อน รบกวนอาจารย์แนะนำด้วยคะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวดยอดดตลอดๆเลยครับคุณเน๊ก

ขออนุญาตถามสักหน่อยนะครับว่าถ้าผมสนใจอยากซื้อsilverบ้างเนี่ยสามารถซื้อ-ขายได้ที่ไหนหรอครับ แล้วเราติดตามราคาได้ยังไงบ้างผมไม่เคยมีความรู้เรื่องนี้เลย และขออีกสักนิดถ้าหากผมซื้อเก็บรวมๆไว้กะทองเนี่ย แร่เงินมันจะเหลืองๆจะทำให้ราคาของมันลดลงหรือเปล่าครับที่ว่าชุบใหม่ได้นี่เป็นยังไงหรอครับ ขออนุญาตถามเยอะนิดนึงนะครับประสาคนไม่เคยรุ้จักเลยได้คุณเน๊กเนี่ยแหละเปิดโลกทัศน์ใหม่ๆให้

ขอบคุณมากๆๆเลยครับปีนี้ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับผม

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ประเดิมต้นปีให้หายลงแดง....

:rolleyes:

ขอดบทความของคุณ เน็ก แล้วรู้สึกเหมือนขาดอะไรบางอย่างในชีวิตไปเลยครับ >_<

 

ลงชื่อรอจองหนังสืออีกหนึ่งคนครับ :rolleyes:

 

 

ถามหน่อยครับ แล้วเราจะไปซื้อแร่เงิน หรือลงทุึนในแร่เงินได้อย่างไรบ้างละครับ อ่านแล้วตรงส่วนนี้ยังงงๆ นิดๆ

ถูกแก้ไข โดย leo_attack

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขออนุญาตเอากระทู้เพื่อนบ้านมาแชร์นะครับ พอดีหลังจากโพสถามคุณเน๊กไปละลองเสิทหาจากกูเกิ้ลดูก็บังเอิญเจอกระทู้นี้เป็นกระทู้ที่โพสไล้นานแล้วแต่อาจจะพอเป็นประโยชน์ให้เพื่อนๆได้บ้างครับ

http://namchiang.com/smf/index.php?topic=7725.0

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณมากครับคุณเน็กฯ :ph34r: :lol:

 

อ่ะๆ ถึงว่ามีการบอกต่อให้ช่วยซื้อเงินคนละ ออนซ์ ไม่ให้ เจ๊พี.แก ปิดสัญญาS ง่ายๆ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวัสดีปีใหม่ด้วยอีกคนค่ะ ขอให้มีความสุขมาก ๆ สุขภาพแข็งแรง ๆ และรวยเรื่ือรัง แอบอ่านอยู่ค่ะ ขอจองหนังสือด้วยค่ะ 1 เล่ม

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณมากครับ

อธิบายได้อย่างกระจ่างจริงๆ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขออนุญาตเอากระทู้เพื่อนบ้านมาแชร์นะครับ พอดีหลังจากโพสถามคุณเน๊กไปละลองเสิทหาจากกูเกิ้ลดูก็บังเอิญเจอกระทู้นี้เป็นกระทู้ที่โพสไล้นานแล้วแต่อาจจะพอเป็นประโยชน์ให้เพื่อนๆได้บ้างครับ

http://namchiang.com/smf/index.php?topic=7725.0

 

 

อืม ไปเจอจากยูทูปเสริมมา

ดูแล้วสนุกดี...แต่ขำไม่ออกแฮะ

 

กระจายความเสี่ยง ซื้อเงินบ้างดีกว่าแฮะั ทองก็ดีแต่เงินก็ตืนเต้นไม่น้อย แอบหลบไปหาข้อมูลต่อขอบ

 

 

ขอบคุณคุณ AunTonio ครับ

ขอบคุณคุณ เน็ก ด้วย เปิดหูเปิดตาฉลองปีใหม่จริงๆ

 

 

เออ...ว่าแต่อ้างอิงราคาเงินในประเทศไทยเป็นบาทจากไหนกันหรอครับ....ตอนนี้เจอแต่เป็นดอลล่าทั้งงั้นเลย ToT

ถูกแก้ไข โดย leo_attack

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอเอาใจสมาชิกใหม่ แต่เป็นว่าที่ "ลูกค้ารายใหญ่" หน่อยนะครับ

จะสั่งซื้อถึง 100 เล่ม !!! (โอ้โห...แค่ 10 เล่มก็เป็นปลื้มแล้วครับ ขอบพระคุณคุณJaiyen ล่วงหน้าด้วยอีกคนนะครับ)

 

สำหรับคำถามที่ถามมา

 

1. สมัยที่เริ่มมีการใช้ ธนบัตรเป็นตัวแทนการแลกเปลี่ยน รัฐบาลจะแจกจ่ายให้ประชาชนยังไงครับ? ในเมื่อเริ่มจากไม่มีใครมีธนบัตรเลย

นอกจากรัฐบาล

 

คำตอบ : ก็คือเริ่มจากการที่ประชาชนโดยทั่วไปซึ่งถือทองคำกันอยู่เริ่มทยอยเอาทองคำไปฝากแล้วรับ "ตั๋วฝากทอง" มาเก็บแทนครับ อย่างที่เคยเล่าการพกทองคำไปมาเพื่อซื้อขาย หนักและไม่สะดวกเท่ากระดาษ

ทำไปทำมาระบบนี้เลยกลายเป็นที่นิยม ธนาคารพาณิชย์ทั่วไปก็รับฝากทองแล้วออก ธนบัตรให้แทน

 

ในช่วงแรกนั้นก็ยังสามารถนำธนบัตรไปแลกคืนทองคำได้อยู่ แต่หลังจากปี 1971

ที่นิกสันประกาศยกเลิก Gold Standard ไปแล้วก็ไม่มีระบบนี้อีกต่อไปครับ

 

2.การพิมพ์แบงค์เพิ่มทำให้เงินด้อยค่าลงได้อย่างไร? ในเมื่อการพิมพ์แบงค์เพิ่ม ไม่ได้หมายถึงราคาสินค้าที่แพงขึ้น

คำตอบ : ลองมองในมุมกลับดูดีมั๊ยครับ

เพื่อจะเห็นภาพง่ายขึ้น สมมุติให้สินค้าเพิ่มจำนวนขึ้นแทน

 

เช่นส้มเกิดล้นตลาดราคาของส้มจะถูกลงโดยอัตโนมัติ

นั่นหมายความว่า ใช้ธนบัตรเท่าเดิมแต่ได้ส้มมากขึ้น

 

ในทางกลับกัน หากส้มในตลาดมีอยู่เท่าเดิมแต่ ธนบัตรถูกพิมพ์เพิ่มขึ้นแทน

เราก็ต้องใช้ธนบัตรมากขึ้นเพื่อแลกกับส้มปริมาณเท่าเดิม ไม่ต่างกัน

 

นั่นเพราะปริมาณส้มที่มากขึ้นล้นตลาด เจือจาง (Devalue) ส้มที่มีอยู่ก่อนให้ด้อยค่าลง เพราะมันเกินความต้องการ

เช่นกัน ปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้นในระบบ เจือจาง (Devalue) เงินเก่าที่อยู่ในระบบอยู่แล้วให้ด้อยค่าลงเหมือนกัน

 

3.อะไรเป็นเหตุให้ค่าเงินแต่ละประเทศไม่เท่ากันครับ เช่น ทำไม 1 US dollar ไม่เท่ากับ 1 Thai Baht?

ในเมื่อตอนเริ่มต้นกำหนดค่า 35$ = 1 ounce gold แล้วทำไมจะกำหนด 35 Thai Baht = 1 ounce gold ไม่ได้ละครับ

 

คำตอบ:ขอตอบแบบกำปั้นทุบดินว่า เพราะในอดีตก่อนเค้ากำหนดอัตราแลกเปลี่ยนเมื่อเทียบกับทองคำไว้ไม่เหมือนกันครับ

อัตราแลกเปลี่ยนหลากหลายในแต่ละประเทศ นั่นก็เพราะสภาพเศรษฐกิจในแต่ละประเทศแตกต่างกันอย่างมากด้วย

 

ทุนสำรองทองคำในต่ละประเทศก็มีปริมาณไม่เท่ากัน หนำซ้ำราคาหน้าธนบัตรในแต่ละประเทศก็ใช้้ในราคาที่หลากหลาย

เปรียบเหมือนคนเราส่วนสูงและน้ำหนักไม่มีทางเท่ากัน แต่ก็สามารถเอาเทียบกันได้ว่า ใครอ้วนใครผอม-ใครเตี้ยใครสูง

 

ประเด็นที่น่าคิดกว่านั้นก็คือ หากทุกประเทศอยู่ภายใต้ระบบ Gold Standard เราจะพบความจริงที่ว่า

อัตราแลกเปลี่ยนของทุกประเทศจะ "คงที่" ครับ

เพราะเงินทุกสกุลนั้นถือว่าเป็นทองคำเหมือนกันหมด

แต่ที่มันส่ายขึ้นลงทุกวันนี้ก็เพราะระบบกระดาษ (Fiat Currency) นั่นแหละครับ

ที่ทำให้โลกเราวุ่นวายและเกิดความเสียหายจากการเข้ามาเก็งกำไรค่าเงิน

 

ไม่มีคำถามไหน "ดูโง่ๆ" สำหรับผมเลยนะครับ ไม่ต้องกังวลที่จะถาม

หากเราสงสัยจริงๆ ถามเถอะครับ ผมเองเป็นฝ่ายกังวลเองมากกว่าว่าจะตอบให้หายสงสัยได้หรือเปล่า แต่ก็จะพยายามครับ

 

 

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เหมือนในหนังจีนที่ดูตอนเด็ก ๆ มีตั๋วแลกเงิน, ตั๋วทอง

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...