MOR LEK 2,835 Report post Posted December 8, 2012 (edited) เมื่อวานนี้ตัวเลขการตกงานของเมกาดีขึ้น ลดลงเหลือแค่ตกงาน 7.7% เท่านั้น ......แต่ 86ล้านคนที่เลิกหางานทำแล้วเพราะหาไม่ได้ ไม่ถูกนำมาคิดว่าตกงาน(555 ก็ไม่หางานทำแล้วจะคิดว่าตกงานได้ยังไง) The 86 million invisible unemployed http://money.cnn.com...-rate/index.htm นอกจากนั้นแล้ว ใน 5 เดือนที่ผ่านมา 73% ของงานใหม่ล้วนเป็นงานของรัฐ ของเอกชนน้อยมาก หุหุ แล้วมันจะฟื้นได้ยังไงกัน มีแต่ตัวเลขโกหก 73% OF NEW JOBS CREATED IN LAST 5 MONTHS ARE IN GOVERNMENT http://cnsnews.com/n...-are-government Bill Gross เจ้าพ่อกองทุนบอกว่าตัวเลขการว่างงานมันจะไม่ดีขึ้นได้ไงเพราะ ช่วงนี้คนงานอีกมากกว่า 2 แสนคนเลิกหางาน ทำให้ไม่ถูกนำมาคิดว่าตกงาน Bill Gross, who runs Pimco, the world’s biggest bond fund, highlighted in a Tweet that a falling participation rate was behind the lower level of unemployment. “Equity market rallies because 200,000+ workers stop looking for jobs and the unemployment-rate hits 7.7 per cent. Be careful, Europe in recession, US slowing,” he warned. http://www.ft.com/cm...l#axzz2EQPYs2Qe Edited December 8, 2012 by MOR LEK 5 Quote Share this post Link to post Share on other sites
NEWS 2,613 Report post Posted December 8, 2012 thank you krub Quote Share this post Link to post Share on other sites
milo 888 Report post Posted December 8, 2012 555 มันเสียเวลาล้างนานครับ เพราะเก็บไว้ในถังแซท แสดงว่ากะ ไม่ขายจริงๆ 55 2 Quote Share this post Link to post Share on other sites
mdaddy 2,443 Report post Posted December 8, 2012 เมื่อวานนี้ตัวเลขการตกงานของเมกาดีขึ้น ลดลงเหลือแค่ตกงาน 7.7% เท่านั้น ......แต่ 86ล้านคนที่เลิกหางานทำแล้วเพราะหาไม่ได้ ไม่ถูกนำมาคิดว่าตกงาน(555 ก็ไม่หางานทำแล้วจะคิดว่าตกงานได้ยังไง) คล้ายๆวิธีคิดตัวเลขเงินเฟ้อของเขาเลยนะครับ ว่าไม่นับอาหาร และพลังงาน พึ่งได้ดูสัมภาษณ์ ดร.อัมมาร สยามวาลา ท่านบอกว่า ธปท. ของเราจะพยายามควบคุมตัวเลขเงินเฟ้อ ให้อยู่ในเป้า (เหมือนเฟดเลย) แต่ตัวเลขเงินเฟ้อที่ธปท.ท่านเอามาใช้ เป็นตัวเลขที่ไม่รวมอาหาร และพลังงาน เรื่องอัตราว่างงานนี่ออกมาลดลงแบบนี้ ไม่รู้ว่า อีกเดือน หรือไม่กี่อาทิตย์หน้า จะออกมา "แก้" ตัวเลข เหมือนเมื่อตอนก่อนเลือกตั้งหรือเปล่า ประมาณว่า พึ่งมารู้ตัวทีหลังว่าข้อมูลไม่ครบ ปีหน้า บริษัทขนาดกลาง จะพยายามลดชั่วโมงพนักงาน จากประมาณ ๔๐ ชั่วโมง/สัปดาห์ ให้ต่ำกว่า ๓๐ ชั่วโมง/สัปดาห์ เพื่อที่จะไม่ต้องจ่ายเบี้ยประกันสุขภาพให้พนักงาน (ถ้าพนักงานทำงานตั้งแต่ ๓๐ ชม./สัปดาห์ขึ้นไป โอบามาแคร์บอกว่า นายจ้างต้องซื้อประกันสุขภาพให้) เมื่อชั่วโมงทำงานลดลง ถ้าต้องการให้ได้งานเท่าเดิม ก็จะเกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น(จำนวนคน แต่ไม่ใช่จำนวนชั่วโมง) ทำให้ตัวเลขการว่างงานลดลงไปอีก * * * * * * * * * * * * * * * * * * ร้อยละ ๗๓ ของการจ้างงานที่เกิดขึ้นในรอบ ๕ เดือนที่ผ่านมา เป็นงานจ้างงานโดยรัฐบาล อ่านพาดหัวนี้แล้วนึกถึงสมัยโซเวียต รัสเซีย ที่มีอัตราการว่างงานเป็น ๐ แต่คนไม่มีจะกิน เพราะแทบจะทุกคนเป็นลูกจ้างรัฐบาล อัฐยาย ซื้อขนมยายแบบนี้ ไม่ก่อให้เกิดการผลิตที่แท้จริง ที่มา : http://anonym.to/?http://www.silverdoctors.com/73-of-new-jobs-created-in-last-5-months-are-in-government/#more-18409 * * * * * * * * * * * * * * * * * * มาร์ตินฯ บอกว่ามันจะยังไม่ถึงเวลาของทองคำ จนกว่ายุโรปจะวิกฤติ ถ้าวันไหนปิดต่ำกว่า $๑๖๘๘ แนวรับจะอยู่ที่ ๑๖๔๘, ๑๖๑๖, ๑๕๗๙ ตอนนี้สภาพคล่องในระบบเริ่มลดลง ซึ่งปัญหาเกิดจากการที่รัฐบาลต่างๆทั่วโลก ไม่เคารพกฏหมายของตัวเอง ตอนนี้คนหลายๆคนเลือกที่จะเก็บเงินไว้ แทนที่จะเอาไปลงทุน ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในปี ๒๐๑๓ ได้ ที่มา : http://anonym.to/?http://armstrongeconomics.com/2012/12/07/the-markets/ 4 Quote Share this post Link to post Share on other sites
mdaddy 2,443 Report post Posted December 8, 2012 555 มันเสียเวลาล้างนานครับ เพราะเก็บไว้ในถังแซท ถ้าโจรใจไม่ถึงจริงๆ ไม่กล้าไปปล้นคุณหมอนะเนี่ย ผมนึกว่าใส่ตุ่มฝังไว้ในสวนหลังบ้านของผมเด็ดแล้วนะ ใส่ถังแซทที่เด็ดกว่า 5 5 5 5 2 Quote Share this post Link to post Share on other sites
MOR LEK 2,835 Report post Posted December 8, 2012 (edited) เอามาตอกย้ำครับว่าเมกามันจะเจ๊งจริงๆ เรื่องแรกคือสื่อหลัก(ตามปกติไม่ค่อยรายงานเรื่องไม่ดี)บอกว่า General Motor จะเจ๊งอีกแล้ว (3-4ปีก่อนได้รับการอัดฉีดเพราะจะเจ๊งไปแล้วทีนึง) Mainstream Media Finally Reports On GM's Channel Stuffing Scandal http://www.zerohedge.com/print/460646 เรื่องที่2 ก็คือ ...หลังจากเตะถ่วงการล้มละลายมาตั้งนาน เมืองที่เคยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ของโลก..ดีทรอยท์ คราวนี้คงไม่รอดแน่ๆ State laying groundwork for managed bankruptcy for Detroit From The Detroit News: http://www.detroitne...5#ixzz2ER3bWUmT 10 หน่วยงานยักษ์ใหญ่ที่ปลดคนงานออกในปีนี้ (ผมรวมได้ 99,500 คน) The 10 biggest U.S. corporate layoffs of 2012 http://www.marketwat...ome_latest_news Edited December 8, 2012 by MOR LEK 3 Quote Share this post Link to post Share on other sites
MOR LEK 2,835 Report post Posted December 8, 2012 แสดงว่ากะ ไม่ขายจริงๆ 55 ถ้าโจรใจไม่ถึงจริงๆ ไม่กล้าไปปล้นคุณหมอนะเนี่ย ผมนึกว่าใส่ตุ่มฝังไว้ในสวนหลังบ้านของผมเด็ดแล้วนะ ใส่ถังแซทที่เด็ดกว่า 5 5 5 5 เวลาจะขายทีมันลำบากจริงๆครับ 3 Quote Share this post Link to post Share on other sites
deb99 290 Report post Posted December 8, 2012 ขอบคุณครับ Quote Share this post Link to post Share on other sites
Nexttonothing 1,509 Report post Posted December 8, 2012 ปีหน้า ... พบกันครับทุกท่าน :_087 15 Quote Share this post Link to post Share on other sites
milo 888 Report post Posted December 8, 2012 ยินดีครับคุณเน็กซ์ เชื่อเหลือเกินว่ามีคนรอคุณเน็กซ์อยู่มากมาย Quote Share this post Link to post Share on other sites
rattana 6 Report post Posted December 8, 2012 ดีใจจังคะ คุณเน็กกลับมาแล้ว Quote Share this post Link to post Share on other sites
ส้มโอมือ 4,910 Report post Posted December 8, 2012 ดีใจมากครับ เป็นของขวัญปีใหม่สำหรับสำหรับแฟนๆกระทู้โอกาสทองเลยครับ 2 Quote Share this post Link to post Share on other sites
magnataur 39 Report post Posted December 8, 2012 ยังติดตามกระทู้นี้ตลอดครับ และยินดีที่คุณ next กลับมา Quote Share this post Link to post Share on other sites
ส้มโอมือ 4,910 Report post Posted December 9, 2012 วันที่ 10 ธันวาคม 2555 04:00 ปัญหา (ที่แท้จริง) ของหนี้สาธารณะสหรัฐ โดย : ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ โดยทั่วไปแล้วเราจะได้รับข้อมูลจากสื่อว่าปัญหาหนี้สาธารณะของสหรัฐมีอยู่ 3 ประเด็นหลักคือ 1. ปัญหาหน้าผาทางการคลัง คือการที่รัฐบาลสหรัฐจะต้องต่ออายุมาตรการลดภาษีและกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งหากตกลงกันไม่ได้ภายในปีนี้ การรัดเข็มขัดทางการคลังจะฉุดรั้งเศรษฐกิจสหรัฐให้เศรษฐกิจเข้าสู่สภาวะถด ถอยได้ 2. ดังนั้นปัจจุบันจึงต้องติดตามการเจรจาระหว่างฝ่ายบริหารนำโดยประธานาธิบดีโอ บามาซึ่งได้แต่งตั้งรัฐมนตรีคลังคือนายไกธ์เนอร์เป็นหัวหน้าเจรจาโดยคู่ เจรจาหลักคือประธานสภาผู้แทนราษฎรจากพรรครีพับลิกันคือนายเบนเนอร์ และประเด็นที่ต้องเจรจาคือประธานาธิบดีโอบามาเน้นการเก็บภาษีคนรวยในอัตรา ที่สูงขึ้น แต่ฝ่ายรีพับลิกันต้องการปฏิรูประบบภาษีโดยรวมไม่ใช่ขึ้นอัตราภาษีและเน้น การลดรายจ่ายโดยเฉพาะรายจ่ายด้านรัฐสวัสดิการ (entitlements) คือเงินที่รัฐบาลสหรัฐจ่ายให้ประชาชนตามสิทธิ์ภายใต้ระบบรัฐสวัสดิการ 3. ข่าวสารที่เสนอออกไปมักจะกล่าวว่า ปัญหาระยะยาวทางการคลังสหรัฐ คือการขาดดุลงบประมาณเฉลี่ย 1.1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปีหรือ 9% ของจีดีพี โดยในปี 2012 ขาดดุลงบประมาณเท่ากับ 7% ของจีดีพี ปัจจุบันรัฐบาลสหรัฐมีหนี้สาธารณะ 16 ล้านล้านดอลลาร์ ในขณะที่จีดีพีเท่ากับ 15.8 ล้านล้านดอลลาร์ แปลว่าหนี้สาธารณะเท่ากับจีดีพีและจะสูงขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะหากต้องการหลีกเลี่ยงเรื่องหน้าผาทางการคลังรัฐบาลก็จะต้องใช่จ่ายเกิน ตัวต่อไป แต่ข้อเท็จจริงดังกล่าวนั้นพูดได้ว่าเป็นเพียงเสี้ยวเล็กๆ เสี้ยวหนึ่งของปัญหาการคลังของสหรัฐ ซึ่งได้มีการศึกษาปัญหาและกล่าวตักเตือนโดยนักวิชาการมานานเกือบ 20 ปีแล้ว ล่าสุดมีบทความใน Wall Street Journal ลงวันที่ 28 พ.ย. 2012 เขียนโดยนาย Chris Cox และ Bill Archer อดีตนักการเมืองอาวุโสของสหรัฐ ซึ่งผมขอสรุปประเด็นหลักดังนี้ 1. ภาวะทางการคลังที่หนักหน่วงคือรายจ่ายรัฐสวัสดิการในอนาคต ได้แก่ รายจ่ายที่คำนวณได้จากโครงสร้างประชากรและอายุขัยที่เพิ่มขึ้นของประชาชนใน อนาคต ซึ่งรัฐบาลสหรัฐจะมีรายจ่ายที่ยังหารายได้มารองรับไม่ได้ ที่สำคัญอยู่ 2 ส่วนคือรายจ่ายส่วนเกินของระบบประกันสุขภาพมูลค่าทั้งสิ้น 42.8 ล้านล้านดอลลาร์และรายจ่ายส่วนเกินของระบบประกันสังคมมีมูลค่าทั้งสิ้น 20.5 ล้านล้านดอลลาร์ แปลว่าผู้รู้และนักวิชาการรับรู้มานานแล้วว่ารัฐบาลสหรัฐจะมีปัญหารายจ่าย เกินรายรับในอนาคตรวมทั้งสิ้น 63.3 ล้านล้านดอลลาร์ 2. ปัญหารายจ่ายเกินตัวอีกปัญหาหนึ่งคือ รายจ่ายเกี่ยวกับบำนาญและผลประโยชน์ต่างๆ ที่รัฐบาลต้องจัดหาให้กับข้าราชการของรัฐบาลกลาง ซึ่งคำนวณว่าในอนาคตจะเป็นภาระกับรัฐบาลอีกประมาณ 23.5 ล้านล้านดอลลาร์ ดังนั้นปัญหาใหญ่ของรัฐบาลสหรัฐคือจะต้องหารายได้รวมทั้งสิ้นอีก 86.8 ล้านล้านดอลลาร์ในอนาคต ซึ่งเท่ากับประมาณ 550% ของจีดีพี ไม่ใช่หนี้สาธารณะซึ่งปัจจุบันเท่ากับ 100% ของจีดีพี 3. ปัญหาที่ท้าทายรัฐบาลสหรัฐมากที่สุดน่าจะเป็นรายจ่ายด้านประกันสุขภาพและ ประกันสังคม ซึ่งในปี 2011 นั้น คำนวณรายจ่ายสะสมรวมทั้งสิ้น 7 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ดังที่กล่าวข้างต้นรายจ่ายดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้รายจ่ายรวมของรัฐบาลเพิ่มขึ้นอีก 9 เท่าในอนาคตเป็น 63.3 ล้านล้านดอลลาร์ ดังกล่าวข้างต้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าการเจรจาปัญหาวินัยทางการคลังของสหรัฐตามที่สื่อต่างๆ รายงานนั้น แทบจะไม่เคยเห็นการยกปัญหาดังกล่าวข้างต้นขึ้นมาเจรจาแต่อย่างใดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาจนกระทั่งทุกวันนี้ ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะว่าผู้ที่เกี่ยวข้องไม่ทราบปัญหาแต่ไม่มีใครอยากไปแตะ ต้องรายจ่ายที่มีความอ่อนไหวทางการเมือง จะมีแต่นาย Paul Ryan ส.ส.พรรครีพับลิกันที่เป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดี ซึ่งพยายามผลักดันข้อเสนอเพื่อลดการจ่ายในระยะยาว แต่ก็ไม่ได้รับคะแนนสนับสนุนที่เพียงพอ 4. รัฐบาลสหรัฐเก็บภาษีที่เรียกว่า Payroll tax ซึ่งทั้งผู้ว่าจ้างและลูกจ้างต้องจ่ายเงินคำนวณจากรายได้ของลูกจ้างทุกปี เพื่อให้มีรายได้ในการจ่ายเงินเข้าสู่กองทุนประกันสังคมและประกันสุขภาพ โดยในหลักการนั้นคนทำงานปัจจุบันจ่ายภาษีดังกล่าวให้กับคนสูงอายุปัจจุบัน (ซึ่งเป็นคนรุ่นพ่อ-แม่ของผู้ทำงานปัจจุบัน) โดยมีความคาดหวังว่าคนที่ทำงานปัจจุบันเมื่อแก่ตัวลงใน 20-30 ปีข้างหน้าก็จะได้รับสิทธิประโยชน์เทียบเท่ากัน แต่ปัญหาคือเงินที่นำเข้ากองทุนจากภาษีดังกล่าวกำลังถูกนำไปใช้ไม่เหลือเก็บ เอาไว้บรรเทาภาระให้กับชนรุ่นหลังเลย ซ้ำร้ายมาตรการช่วยเหลือเศรษฐกิจปัจจุบันคือ การยกเว้นการเก็บภาษีดังกล่าว ดังนั้นหากต้องการหลีกเลี่ยงหน้าผาทางการคลังก็อาจต้องยกเว้นการเก็บภาษีดัง กล่าวต่อไปอีกในปีหน้า แต่ก็จะยิ่งทำให้กองทุนประกันสังคมและประกันสุขภาพขาดทุนเพิ่มขึ้นไปอีก 5. บทความของ Cox และ Archer สรุปว่าหากต้องการแก้ปัญหาการขาดทุนของกองทุนประกันสังคมและประกันสุขภาพใน ทันที รัฐบาลสหรัฐจะต้องเก็บภาษีปีละ 8 ล้านล้านดอลลาร์ จากปัจจุบันเก็บภาษีประมาณ 2.9 ล้านล้านดอลลาร์ แปลว่าต้องเก็บภาษีเพิ่มขึ้นกว่า 5 ล้านล้านดอลลาร์ หรือเกือบ 30% ของจีดีพี ซึ่งเป็นไปไม่ได้และสูงกว่าเป้าการเก็บภาษีเพิ่มของประธานาธิบดีโอบามาคือ 1.5 ล้านล้านดอลลาร์อย่างมาก ดังนั้นข้อสรุปของ Cox กับ Archer คือการแก้ปัญหาต้องมุ่งเน้นการลดรายจ่ายรัฐสวัสดิการดังกล่าว แต่จนกระทั่งวันนี้ก็ยังไม่มีข้อเสนอเฉพาะเจาะจงเพื่อลดรายจ่ายดังกล่าว อย่างเป็นระบบ เพราะจะเป็นมาตรการที่ถูกต่อต้านจากผู้ที่เสียผลประโยชน์หลายล้านคน นักวิชาการและอดีตเจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังสหรัฐบางคนเคยกล่าวว่าสถานะ ทางการคลังของรัฐบาลสหรัฐนั้นอาจมองได้ว่ารัฐบาลสหรัฐเข้าสู่สภาวะล้มละลาย แล้ว ทำให้ผมนึกถึงรายการทีวีของบลูมเบอร์กที่จัดสัมมนาเรื่องปัญหาการคลังสหรัฐ และถามผู้บริหารกองทุนเฮดจ์ฟันด์ (กองทุนเก็งกำไร) ว่าเมื่อรู้แล้วว่ารัฐบาลสหรัฐถังแตกแล้วทำไมกองทุนจึงไม่เก็งกำไรค่าเงิน สหรัฐและพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐโดยขายล่วงหน้าเงินเหรียญและพันธบัตรรัฐบาล สหรัฐ ผู้บริหารคนนั้นตอบว่าเขายังมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังขยายตัวต่อไปได้แตกต่าง จากยุโรปซึ่งพยายามรักษาวินัยทางการคลังโดยการรัดเข็มขัดทางการคลังทำให้ เศรษฐกิจตกต่ำและจะมีแนวโน้มซึมยาว แต่ที่สำคัญคือเขาบอกว่าอเมริกาได้เปรียบประเทศอื่นที่ธนาคารกลางสามารถ พิมพ์เงินใช้เองได้โดยไม่มีข้อจำกัด เพราะเงินสหรัฐเป็นเงินสกุลหลักของโลก ขณะที่ยุโรปไม่พิมพ์หรือไม่กล้าพิมพ์เงินยูโรอย่างไม่จำกัด ผู้ดำเนินรายการจึงถามต่อไปว่าไม่กลัวปัญหาเงินเฟ้อ (และค่าเงินดอลลาร์ด้อยค่า) หรือ เขาตอบว่าไม่กลัวเพราะเงินเฟ้อทำให้มูลค่าหนี้ของสหรัฐลดลง ดังนั้นเงินเฟ้อจึงเป็นภาระของเจ้าหนี้ไม่ใช่ของลูกหนี้ กล่าวโดยสรุปคือผู้ที่จะต้องรับกรรมจากการใช้จ่ายเกินตัวของสหรัฐคือผู้ ที่ถือเงินเหรียญสหรัฐและพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่คือธนาคารกลางของประเทศเอเชียและทุกประเทศที่เกินดุลการค้าและ ดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งเก็บรายได้ส่วนเกินเอาไว้เป็นทุนสำรองในรูปของเงินดอลลาร์ครับ 2 Quote Share this post Link to post Share on other sites
Sakai 12 Report post Posted December 9, 2012 ปีหน้า ... พบกันครับทุกท่าน :_087 ด้วยความยินดีครับ รออยู่ครับ Quote Share this post Link to post Share on other sites