ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
moddang

สาระน่ารู้....สุขภาพ.....

โพสต์แนะนำ

เตรียมพร้อมอย่างไรก่อนบริจาคโลหิต

 

553000000158301.JPEG

 

บทความโดย : รศ.พญ.ศศิจิต เวชแพศย์ ภาควิชาเวชศาสตร์การธนาคารเลือด

     

      คำว่า “โลหิต” อาจ ฟังดูน่าหวาดเสียว และน่ากลัวสำหรับคนบางคน แต่สำหรับโรงพยาบาลแล้ว โลหิตเป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญในการรักษาผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วยผ่าตัด  ผู้ป่วยโรคเลือด ผู้ป่วยมะเร็ง รวมทั้งการรักษาหลายๆ อย่างในปัจจุบันนี้ จะไม่สามารถทำได้หากไม่มี

     

      โลหิตมีความสำคัญอย่างไร

     

      ในร่างกายคนเรามีเลือดไหลเวียนอยู่ในตัว เพื่อทำหน้าที่ลำเลียงอาหาร สารน้ำ ออกซิเจนไปทั่วร่างกาย ขณะเดียวกันก็นำสารพิษ ของเสีย และคาร์บอนไดออกไซด์จากส่วนต่าง ๆ เพื่อนำไปกำจัดออกจากร่างกายเพื่อให้ร่างกายทำหน้าที่ได้อย่างปกติ ในเลือดมีทั้งของเหลว (ส่วนน้ำ) และเซลล์ชนิดต่าง ๆ ซึ่งมีหน้าที่ต่าง ๆ กัน กล่าวคือ

             

      เม็ดเลือดแดง ทำหน้าที่ นำออกซิเจนไปเลี้ยงเนื้อเยื่อ และนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เนื้อเยื่อออกไปขับถ่าย  เม็ดเลือดแดงมีปริมาณประมาณร้อยละ  40 – 45 ของเลือดทั้งหมด  และมีอายุเพียง 120 วัน

       

      เม็ดเลือดขาว ทำหน้าที่  ให้ภูมิคุ้มกันเหมือนทหาร ปกป้องเชื้อโรคในร่างกาย มีปริมาณประมาณ 1% ของเลือด

     

      เกร็ดเลือดทำหน้าที่ช่วยให้เลือดแข็งตัว มีลักษณะเป็นชิ้นส่วนของเซลล์ขนาดเล็ก  มีอยู่ประมาณ 5% ของเลือด

       

      พลาสมา เป็นสารน้ำสีเหลือง มีโปรตีน เกลือแร่  ไขมัน  ฮอร์โมน  ไวตามิน  มีปริมาณร้อยละ 55 ของเลือด

     

      ประเภทของหมู่โลหิต (กรุ๊ปเลือด)

     

โลหิตที่อยู่ในคนไทยเรา แบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท คือ

 

   1. หมู่โอ พบได้ประมาณร้อยละ 38 ,

   2. หมู่เอ พบร้อยละ 21,

   3. หมู่บี พบร้อยละ 34 และ

   4. หมู่เอบีพบร้อยละ 7

     

      นอกจากนี้ในหมู่เลือด เอ บี โอ แต่ละชนิด จะพบว่าประมาณ 1 ถึง 3 คน ในจำนวนประชากร 1,000 คน จะมีหมู่เลือดอาร์เอ็ชลบ ซึ่งเป็น หมู่โลหิตที่หายากหรือหมู่โลหิตพิเศษ เท่าที่พบมา เราพบว่าหมู่โลหิตโอ เป็นหมู่โลหิตที่หาง่าย เมื่อเทียบกับหมู่โลหิตประเภทอื่นที่บริจาคกันเข้ามา สำหรับผู้ที่ไม่เคยบริจาคโลหิตมาก่อน แต่อยากช่วยเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ไม่ยากเลยค่ะ

 

    #  คุณสมบัติของผู้บริจาคโลหิต

      เป็นผู้มีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว อายุ 18 – 60 ปี น้ำหนักตั้งแต่ 45 กิโลกรัมขึ้นไป ไม่อยู่ในระหว่างรับประทานยาปฏิชีวนะ ยาป้องกันเลือดแข็งตัวและฮอร์โมนเพศ ไม่มีประวัติเป็นโรคมาลาเรียในระยะเวลา 3 ปี ไม่ได้รับการถอนฟันหรือขูดหินปูน ภายใน 72 ชั่วโมงก่อนบริจาคเลือด ไม่มีบาดแผลสด หรือแผลติดเชื้อใดๆ ตามร่างกาย ผู้หญิงที่ไม่อยู่ในระยะตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร

     

     

  # ใครบ้างที่ไม่สามารถบริจาคโลหิตได้

      ผู้ที่เป็นโรคหัวใจ โรคปอด มะเร็ง ลมชัก โรคเลือดออกง่ายแต่หยุดยาก ผู้ที่เป็นหรือเคยเป็นไวรัสตับอักเสบบีหรือคู่ครอง(สามีหรือภรรยา)เป็นไวรัส ตับอักเสบบี ไวรัสตับ อักเสบซี รวมทั้งผู้ติดเชื้อเอสไอวีหรือซิฟิลิส ผู้เสพยาเสพติดชนิดใช้เข็มฉีดยา ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ มีคู่นอนหลายคนหรือเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ ผู้ชายมีเพศสัมพันธ์กับชาย น้ำหนักตัวลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ มีต่อมน้ำเหลืองตามร่างกายโตหรือมีไข้โดยไม่ทราบสาเหตุ

     

 

      เตรียมพร้อมอย่างไรก่อนบริจาคโลหิต

     

      # การเตรียมตัวก่อนบริจาคโลหิต

      เพื่อมิให้ผู้บริจาคโลหิตอ่อนเพลียมากหลังบริจาคโลหิต ผู้บริจาคโลหิตจึงควรเตรียมตัวก่อนบริจาคโลหิต 1 – 2 วัน ควรดื่มน้ำมากๆ เพื่อให้ร่างกายสดชื่น เลือดไหลเวียนดี งดดื่มสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ไม่ควรเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายที่ต้องเสียเหงื่อมากก่อนบริจาคโลหิต 1 วัน รับประทานอาหารก่อนบริจาคโลหิตประมาณ 4 ชั่วโมงนอนหลับพักผ่อนเพียงพอประมาณ 6 ชั่วโมง

     

      แต่ละครั้งโรงพยาบาลต้องการโลหิตประมาณ 350 – 450 ซีซี / คน ซึ่งปริมาณจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวของผู้บริจาค และเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับโลหิตที่ปลอดภัย โลหิตที่ได้จะต้องผ่านกระบวนการทดสอบก่อนนำไปให้ผู้ป่วยคือ ตรวจหาไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซี ซิฟิลิส และตรวจหาไวรัสเอดส์

     

     

     # รับประทานอะไรหลังบริจาคโลหิต

      หลัง การบริจาคโลหิตเสร็จแล้ว ควรนั่งพักประมาณ 10 -15 นาที รับประทานขนมหรืออาหารว่าง ดื่มน้ำ/เครื่องดื่ม 1-2 แก้ว แล้วรับประทานอาหารตามปกติ ไม่ควรงดอาหาร โดยเฉพาะอาหารประเภทเนื้อสัตว์ต่างๆ ตับ ไข่ เลือดหมู เลือดไก่ ผักใบเขียวและผักที่มีสีเหลือง งดสูบบุหรี่หลังบริจาคโลหิตอย่างน้อย ? ชั่วโมง งดดื่มสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และถ้าจะดื่ม ผู้บริจาคโลหิตควรรับประทานอาหารให้มากพอก่อนดื่มสุราหรือแอลกอฮอล์

     

      เห็นไหมคะว่า หากมีการเตรียมพร้อมก่อนมาบริจาคโลหิตก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย เมื่อคุณบริจาคโลหิตไปแล้วเท่ากับคุณได้กระตุ้นร่างกายให้สร้างเม็ดเลือดแดง ขึ้นมาใหม่ (เม็ดเลือดแดงมีอายุประมาณ 120 วัน) มีผลให้สุขภาพแข็งแรงยิ่งขึ้น สำหรับผู้หญิงสามารถบริจาคได้ทุก 6 เดือน ส่วนผู้ชายบริจาคได้ทุก 3 เดือน

     

      คุณเป็นผู้หนึ่งที่สามารถช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ได้ มาร่วมบริจาคโลหิตกับโรงพยาบาลศิริราชได้ทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ ที่ห้องรับบริจาคเลือด ตึก 72 ปี ชั้น 3 นอกจากนี้ยังมีหน่วยรับบริจาคโลหิตเคลื่อนที่ทุกวันจันทร์ – วันศุกร์ ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล สอบถามรายละเอียดและนัดหมายล่วงหน้าได้ที่ โทร. 02-419 8081 ต่อ 110

     

      เลือดท่านเพียงน้อยนิด ช่วยชีวิตผู้ป่วยได้

     

     

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

พอดีผมพาเมียไป กทม.ไปเยี่ยมพ่อตาแม่ยายมาครับเลยไม่ได้ตอบคุณสุวรรณา

เรื่องหอมนะครับ

-ยิ่งฉุนยิ่ง effective ดังนั้นหอมแดงหรือหอมแขกจะดีกว่าหอมใหญ่เล็กน้อย ผมแนะนำให้ใช้หอมแขกครับเพราะหัวมันใหญ่ดีปอกง่ายไม่อารมณ์เสีย เวลาปอกถ้าไม่อยากร้องให้ก็เอาพัดลมตัวล็กๆมาเป่าขณะซอยเพื่อพัดน้ำมันหอมระเหยไม่ให้เข้าตา ส่วนหอมใหญ่ถ้าทำพริกน้ำปลามะนาวอย่างผมว่ามันจะไม่อร่อยนะครับ(ต้องอร่อยด้วยรักษาโรคด้วย เพื่อเราจะได้อยู่เพื่อกินอย่างมีความสุข)

-ปริมาณที่กินก็กะกะเอานะครับ ( 1 กินทุกครั้งที่หิว 2 กินจนอิ่ม )อร่อยมากกินมาก  กินมากโคเลสเตอรอลลดมาก เพียงแต่ได้ยินเสียงบ่นจากเมียว่าปากเธอมีแต่กลิ่นหอม ไป อย่ามาจูบชั๊น

ส่วนเรื่องเลือดลอยผมก็ไม่รู้แต่มีคนตอบแล้วผมก็ได้ความรู้เพิ่ม ขอบคุณครับ

เช้านี้อาแค่นี้ก่อนนะครับ พิมพ์จนเมื่อยแล้ว

           

 

ขอเล่าเรื่องหอมต่อเพื่อความมั่นใจของท่านผู้อ่าน(เพราะผมชอบเขียนเรื่องจริงแต่อ่านแล้วเหมือนไม่จริง)

เรื่องมันมีอยู่ว่ากาลครั้งหนึ่งหมอฝรั่งที่ทำงานที่เมืองๆนึงของอินเดียสังเกตุพบว่า คนในแถบนั้นไม่ค่อยเป็นโรคเกี่ยวกับไขมันในเส้นเลือดเลย

เขาจึงเริ่มศึกษาพฤติกรรมการกินของคนเหล่านั้น

พบว่าในอาหารเกือบทุกอย่างมีหอมเป็นส่วนประกอบ เขาจึงทำการทดลองโดยแบ่งคนเป็นกลุ่มดังนี้

1ให้กินอาหารที่มีโคเลสเตอรอล(ในปริมาณที่คำนวณไว้แล้ว)แล้วกินหอม

2ให้กินอาหารที่มีโคเลสเตอรอล(ในปริมาณที่คำนวณไว้แล้ว)แล้วไม่กินหอม

ทั้งสองกลุ่มก่อนและหลังอาหารถูกเจาะเลือดตรวจโคเลสเตอรอล   พบว่าทั้ง2กลุ่มหลังกินอาหาร โคเลสเตอรอลในเลือดเพิ่มขึ้นแต่กลุ่มที่กินหอมจะลดลงอย่างรวดเร็ว  เขาจึงแนะนำให้คนไข้ของเขากินหอม  แต่ทำไมหมอไทยจึงไม่แนะนำ ผมเดาเอานะครับ

1ไม่รู้หรือไม่เชื่อ

2ไม่จ่ายยาก็ไม่ได้ตังค์ครับ อันนี้แหละสำคัญ เป็นนักธุรกิจกันหมด จรรยาบรรณหายเกลี้ยง

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอเขียนเรื่องโรคเก๊าต์หน่อยนะครับ คิดว่าผู้ชายหลายคนในเว็ปคงมีปํญหาเรื่องยูริคสูงกัน(โรคนี้ผู้ชายเป็นมากกว่าผู้หญิง)

 

 

 

ถ้าไปเปิดตำราหาว่าอะไรที่มียูริคสูงจะได้เลี่ยงไม่กิน จะพบว่าหาของที่กินได้ยากมาก อะไรๆก็มีเยอะทั้งนั้น

แล้วงั้นจะทำไงดีหว่าถึงจะอยู่เพื่อกินอย่างมีความสุข

อันดับแรกต้องเข้าใจสาเหตุมันซะกอนว่าเกิดจากอะไร มันเกิดจาดกรดยูริคตกผลึกตามข้อต่างๆแล้วทำให้เจ็บ

 

ดังนั้นสิ่งที่เราจะต้องทำก็คืออย่าปล่อยให้มันตกผลึกได้ เอ แล้วจะทำไงดีมันถึงจะไม่ตกผลึก

ลองคิดดูถึงการทดลองเรื่องการตกผลึกสมัยเด็กๆนะครับ เอาแก้วมา1ใบใส่น้ำลงไปจากนั้นค่อยๆเติมน้ำตาลลงไป น้ำตาลจะละลายหายไปเรื่อยๆจนถึงจุดๆนึง จะตกผลึกโครมเลย นั่นก็คือมันต้องมีความเข้มข้นจนถึงจุดอิ่มตัวของมัน

 

กรดยูริคก็เช่นกันจะต้องเข้มข้นได้ที่จึงจะตกผลึก ดังนั้นถ้าเรากินน้ำมากๆแล้วก็ฉี่ออกไป(กรดยูริคขับทิ้งทางฉี่)ความเข้มข้นของมันก็จะไม่ถึงจุดซะที มันก็ไม่ตกผลึก เราก็สบายกินอะไรๆได้ตามใจปากโดยไม่ต้องกลัวว่าจะเจ็บแข้งเจ็บขา ปริมาณน้ำที่กินก็ไม่ต้องมากมายอะไรนักหนา เพียงวันละ1.5-2ลิตรก็พอ(แก้วละ 250ซีซี วันละ6-8แก้ว,ประมาณ2ชม./แก้ว)

ผมทำมาแล้วไม่มีปํญหาเลยครับ ตรวจทีไร ยูริค 10(เขาห้ามเกิน7)หมอก็ถามว่าไม่เคยเจ็บข้อเลยเหรอ อิอิ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอขอบคุณ คุณMOR LEK อย่างมากเลยนะค่ะ

   

932424mec0mkv7hq.gif

       

  วันหน้าเชิญนำเรื่องที่มีประสบการณ์เช่นนี้มาช่วยบอกกล่าวพี่น้องชาว thaigold อีกบ่อยๆนะคะ ถ้าไม่ลำบากมากก็อยากให้นำมาอีกค่ะ  ส่วนเรื่องหอมแดงไม่เคยได้ยินมาก่อน เคยได้ยินแต่เรื่องของกระเทียม จึงไปหามาฝากในส่วนของกระเทียมค่ะ

 

กระเทียม

ชื่อวิทยาศาสตร์ Allium sativum Linn.

วงศ์ ALLIACEAE

ชื่อท้องถิ่น หอมเทียม (เหนือ)

               หัวเทียม (ใต้)

               กระเทียมขาว (อุดรธานี)

ลักษณะพืช พืชล้มลุก มีลำต้นใต้ดิน เรียกว่า หัว หัวมีกลีบย่อยหลายกลีบ เนื้อสีขาว มีกลิ่นฉุนเฉพาะ ใบยาว แบน ปลายแหลม ภายในกลวง ดอกรวมกัน    เป็นกระจุกที่ปลายก้านช่อ ดอกสีขาวอมเขียว หรืออมชมพูม่วง

การปลูก       ใช้หัวปลูก ชอบอากาศเย็น และดินร่วนซุย

ส่วนที่ใช้เป็นยา หัว

สรรพคุณยาไทย เป็นยาขับลมในลำไส้ แก้กลากเกลื้อน แก้ไอ ขับเสมหะช่วยย่อยอาหาร

วิธีใช้    อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และแน่นจุกเสียด ใช้กลีบที่แกะเปลือกแล้ว รับประทาน ดิบ ๆ ครั้งละประมาณ 5-7 กลีบ (หนัก 5 กรัม) หลังอาหาร หรือเวลามีอาการโรคกลากเกลื้อน ฝานกลีบ กระเทียมแล้วนำมาถูบ่อย ๆ หรือตำคั้นเอาน้ำทาบริเวณที่เป็นโดยใช้ไม้เล็ก ๆ ขูดบริเวณที่เป็นพอให้ผิวแดง ๆ ก่อน จึงเอานำกระเทียมขยี้ทาบ่อย ๆ หรือทาวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น

 

ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์

 

สารเคมีในหัวกระเทียม คือ น้ำมันหอมระเหยโดยทั่วไปกระเทียมจะมีน้ำมันหอม ระเหย ประมาณ 0.6-1% ในน้ำมันหอมระเหยนี้ มีสารเคมีที่มีกำมะถันเป็นองค์ ประกอบหลายชนิดตัวที่สำคัญคือ อัลลิซิน ซึ่งมีฤทธิ์ในการยับยั้งการเจริญเติบโต ของเชื้อ แบคทีเรียและเชื้อราหลายชนิด ในวงการวิทยาศาสตร ์ ได้มีการค้นคว้า สรรพคุณ ทางเภสัชวิทยาของกระเทียมอย่างมากมาย ทั้งใน และนอกประเทศ การวิจัยเกี่ยวกับสรรพคุณของกระเทียม พบว่า หัวกระเทียมสามารถลดปริมาณ ไขมันในเลือดได้ทั้งในคนปกติ และในคนไข้ที่มีโคเลสเตอรอลสูง หัวกระเทียม ประกอบด้วย น้ำมันหอมระเหย ทำให้มีฤทธิ์ในการระงับอาการ ปวดท้อง ขับลม ลดอาการจุกเสียด และคลื่นไส้หลังอาหารได้

ในการทดลอง ผลิตยาจากกระเทียมขององค์การเภสัชกรรม ได้ทดลองสกัด โดยกรรมวิธีและรูปแบบต่าง ๆ กัน จนได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าหรือส่วนประกอบ ทางเคมีใกล้เคียง กับกระเทียมสดมากที่สุดและได้ส่งตัวอย่างที่ทดลองผลิตขึ้น ได้นี้ ไปทดสอบทางคลินิคเพื่อยืนยันสรรพคุณโดยศาสตราจารย์นายแพทย์วิชัย ตันไพจิตร และคณะ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาล รามาธิบดี ทดสอบคุณสมบัติในการลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือด และรอง ศาสตราจารย์แพทย์หญิงเผือดศรี วัฒนานุกูล และคณะ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทดสอบคุณสมบัติในการละลาย ลิ่มเลือด ผลปรากฏว่า ผลิตภัณฑ์กระเทียมสกัดขององค์การเภสัชกรรม มีฤทธิ์ในการละลายลิ่มเลือด และลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือดได้

นอกจากนี้ การทดลองทางพิษวิทยา โดยรองศาสตราจารย์แพทย์หญิง นันทพร นิลวิเศษ และคณะ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ไม่พบอาการเป็นพิษ แต่อย่างใด

 

http://www.gpo.or.th/herbal/allium/allium.htm

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

!064

กระเจี๊ยบแดง

 

 

hb_14.jpg

 

ชื่อวิทยาศาสตร์ :  Hibiscus sabdariffa  L.

 

ชื่อสามัญ : Jamaican Sorel, Roselle

 

วงศ์ :  Malvaceae

 

ชื่ออื่น : กระเจี๊ยบ  กระเจี๊ยบเปรี้ย  ผักเก็งเค็ง  ส้มเก็งเค็ง  ส้มตะเลงเครง

 

ลักษณะ ทางพฤกษศาสตร์ : ไม้พุ่ม สูง 50-180 ซม. มีหลายพันธุ์ ลำต้นสีม่วงแดง ใบเดี่ยว รูปฝ่ามือ 3 หรือ 5 แฉก กว้างและยาวใกล้เคียงกัน 8-15 ซม. ดอกเดี่ยว ออกที่ซอกใบ กลีบดอกสีชมพูหรือเหลืองบริเวณกลางดอกสีม่วงแดง เกสรตัวผู้เชื่อมกันเป็นหลอด ผลเป็นผลแห้ง แตกได้ มีกลีบเลี้ยงสีแดงฉ่ำน้ำหุ้มไว้

 

 

 

สรรพคุณ :      กลีบเลี้ยงของดอก หรือกลีบที่เหลืออยู่ที่ผล

 

  1.      เป็นยาลดไขมันในเส้นเลือด และช่วยลดน้ำหนักด้วย

 

  2.      ลดความดันโลหิตได้โดยไม่มีผลร้ายแต่อย่างใด

 

  3.      น้ำกระเจี๊ยบทำให้ความเหนียวข้นของเลือดลดลง

 

  4.      ช่วยรักษาโรคเส้นโลหิตแข็งเปราะได้ดี

 

  5.      น้ำกระเจี๊ยบยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ เป็นการช่วยลดความดันอีกทางหนึ่ง

 

  6.      ช่วยย่อยอาหาร เพราะไม่เพิ่มการหลั่งของกรดในกระเพาะ

 

  7.      เพิ่มการหลั่งน้ำดีจากตับ

 

  8.      เป็นเครื่องดื่มที่ช่วยให้ร่างกายสดชื่น เพราะมีกรดซีตริคอยู่ด้วย

   *      ใบ แก้โรคพยาธิตัวจี๊ด ยากัดเสมหะ แก้ไอ ขับเมือกมันในลำคอ ให้ลงสู่ทวารหนัก

 

   *     ดอก แก้โรคนิ่วในไต แก้โรคนิ่วในกระเพราะปัสสาวะ ขัดเบา ละลายไขมันในเส้นเลือด กัดเสมหะ ขับเมือกในลำไส้ให้ลงสู่ทวารหนัก

 

   *     ผล ลดไขมันในเส้นเลือด แก้กระหายน้ำ รักษาแผลในกระเพาะ

 

   *     เมล็ด บำรุงธาตุ บำรุงกำลัง แก้ดีพิการ ขับปัสสาวะ ลดไขมันในเส้นเลือด

 

 

 

         นอกจากนี้ได้บ่งสรรพคุณโดยไม่ได้ระบุว่าใช้ส่วนใด ดังนี้คือ แก้อ่อนเพลีย บำรุงกำลัง บำรุงธาตุ แก้ดีพิการ แก้ปัสสาวะพิการ แก้คอแห้งกระหายน้ำ แก้ความดันโลหิตสูง กัดเสมหะ แก้ไอ ขับเมือกมันในลำไส้ ลดไขมันในเลือด บำรุงโลหิต ลดอุณหในร่างกาย แก้โรคเบาหวาน แก้เส้นเลือดตีบตัน

         นอกจากใช้เดี่ยวๆ แล้ว ยังใช้ผสมในตำรับยาร่วมกับสมุนไพรอื่น ใช้ถ่ายพยาธิตัวจี๊ด

วิธีและปริมาณที่ใช้ :

 

         โดยนำเอากลีบเลี้ยง หรือกลีบรองดอกสีม่วงแดง ตากแห้งและบดเป็นผง ใช้ครั้งละ 1 ช้อนชา  (หนัก 3 กรัม) ชงกับน้ำเดือด 1 ถ้วย (250 มิลลิลิตร) ดื่มเฉพาะน้ำสีแดงใส ดื่มวันละ 3 ครั้ง ติดต่อกันทุกวันจนกว่าอาการขัดเบาและอาการอื่นๆ จะหายไป

 

สารเคมี

         ดอก  พบ Protocatechuic acid, hibiscetin, hibicin, organic acid, malvin, gossypetin

 

คุณค่าด้านอาหาร

       

น้ำ กระเจี๊ยบแดง มีรสเปรี้ยว นำมาต้มกับน้ำ เติมน้ำตาล ดื่มแก้ร้อนใน กระหายน้ำ และช่วยป้องกันการจับตัวของไขมันในเส้นเลือดได้ และยังนำมาทำขนมเยลลี่ แยม หรือใช้เป็นสารแต่งสี ใบอ่อนของกระเจี๊ยบเป็นผักได้ หรือใช้แกงส้ม รสเปรี้ยวกำลังดี กระเจี๊ยบเปรี้ยวมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า "ส้มพอเหมาะ" ในใบมี วิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา ส่วนกลีบเลี้ยงและกลีบดอก มีสารแคลเซียม ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง

       

น้ำกระเจี๊ยบแดงที่ได้สีแดงเข้ม สาร Anthocyanin นำไปแต่งสีอาหารตามต้องการ

 

ข้อมูลจาก  http://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_01.htm

 

หมายเหตุ ***www. rspg.or.th  = โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เขียนต่อเรื่องไขมัน ,ไตรกลีเซอไรด์หน่อยนะครับ

 

ถ้าไตรกลีเซอไรด์สูงลดไม่ยาก 

 

1 ออกกำลังกาย

2 ลดอาหารมันๆ

แต่ถ้าไม่อยากออกกำลังกายและไม่อยากลดอาหารมันๆละทำไงดี

อย่างนี้ต้องเสียตังค์หน่อยครับ ไปซื้อยามากิน ยาชื่อ  Xenical ยาตัวนี้จะไปยับยั้ง การทำงานของน้ำย่อยที่ย่อยเฉพาะไขมัน(Lipase)ทำให้เวลาเรากินอาหารเข้าไป ไขมันจะไม่ถูกย่อย ขี้ทิ้งอย่างเดียวเลย ดังนั้นขี้จะมัน ในชักโครกมันจะลอยฟ่อง เลือกกินยาพร้อมอาหารมื้อหนักๆซักวันละมื้อก็พอครับ กินครั้งละเม็ด ราคา30บาทขึ้น   ใช้ช่วยลดความอ้วนได้ ปลอดภัยสูง ลดอัตราการเป็นโรคเกี่ยวกับไขมันในเส้นเลือดได้ด้วย

 

ขอต่อเรื่องยา Xenical หน่อยครับ สาวๆ(หนุ่มๆก็ได้)ที่ต้องการลดความอ้วนสามารถใช้ยาตัวนี้เป็นตัวลดความอ้วนได้ แต่ต้องระวังหน่อยนึงนะครับ เพราะส่วนใหญ่พอได้ยาตัวนี้มามักย่ามใจ อะฮ้า สบายตูหละ จะกินให้หนำใจเลย ปรากฎว่าอ้วนขึ้นอีกหลายโลเพราะกินทุกอย่างที่ขวางหน้าไม่ได้ลดโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตเลย ยานี้มันออกฤทธิ์เฉพาะกับไขมันเท่านั้น ใครชอบขาหมู คากิสบายเลยครับ

 

 

เรียนถามคุณ MOR LEK ค่ะ

 

     แล้วยา XENICAL  ไปหาซื้อมาทานเองได้หรือตามร้านขายยาทั่วไป เมื่อกี้นี้สงสัยเลยไปหา ผลข้างเคียงของยาดูค่ะ ก็อดแปลกใจไม่ได้ ที่ยาไม่มีผลอันตรายที่น่ากลัว แล้วทำไม คนอ้วนๆ ที่มีข่าว ทานยาลดความอ้วนถึงได้ตายกันล่ะคะ ถ้ามียาตัวนี้เป้นทางเลือก แล้วราคามันเป็นไงคะ  !01 !01

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เขียนต่อเรื่องไขมัน ,ไตรกลีเซอไรด์หน่อยนะครับ

 

ถ้าไตรกลีเซอไรด์สูงลดไม่ยาก 

 

1 ออกกำลังกาย

2 ลดอาหารมันๆ

แต่ถ้าไม่อยากออกกำลังกายและไม่อยากลดอาหารมันๆละทำไงดี

อย่างนี้ต้องเสียตังค์หน่อยครับ ไปซื้อยามากิน ยาชื่อ  Xenical ยาตัวนี้จะไปยับยั้ง การทำงานของน้ำย่อยที่ย่อยเฉพาะไขมัน(Lipase)ทำให้เวลาเรากินอาหารเข้าไป ไขมันจะไม่ถูกย่อย ขี้ทิ้งอย่างเดียวเลย ดังนั้นขี้จะมัน ในชักโครกมันจะลอยฟ่อง เลือกกินยาพร้อมอาหารมื้อหนักๆซักวันละมื้อก็พอครับ กินครั้งละเม็ด ราคา30บาทขึ้น   ใช้ช่วยลดความอ้วนได้ ปลอดภัยสูง ลดอัตราการเป็นโรคเกี่ยวกับไขมันในเส้นเลือดได้ด้วย

 

ขอต่อเรื่องยา Xenical หน่อยครับ สาวๆ(หนุ่มๆก็ได้)ที่ต้องการลดความอ้วนสามารถใช้ยาตัวนี้เป็นตัวลดความอ้วนได้ แต่ต้องระวังหน่อยนึงนะครับ เพราะส่วนใหญ่พอได้ยาตัวนี้มามักย่ามใจ อะฮ้า สบายตูหละ จะกินให้หนำใจเลย ปรากฎว่าอ้วนขึ้นอีกหลายโลเพราะกินทุกอย่างที่ขวางหน้าไม่ได้ลดโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตเลย ยานี้มันออกฤทธิ์เฉพาะกับไขมันเท่านั้น ใครชอบขาหมู คากิสบายเลยครับ

 

 

เรียนถามคุณ MOR LEK ค่ะ

 

     แล้วยา XENICAL  ไปหาซื้อมาทานเองได้หรือตามร้านขายยาทั่วไป เมื่อกี้นี้สงสัยเลยไปหา ผลข้างเคียงของยาดูค่ะ ก็อดแปลกใจไม่ได้ ที่ยาไม่มีผลอันตรายที่น่ากลัว แล้วทำไม คนอ้วนๆ ที่มีข่าว ทานยาลดความอ้วนถึงได้ตายกันล่ะคะ ถ้ามียาตัวนี้เป้นทางเลือก แล้วราคามันเป็นไงคะ  !01 !01

 

เรียนถามคุณ MOR LEK ค่ะ

 

แล้วยา XENICAL ไปหาซื้อมาทานเองได้หรือตามร้านขายยาทั่วไป เมื่อกี้นี้สงสัยเลยไปหา ผลข้างเคียงของยาดูค่ะ ก็อดแปลกใจไม่ได้ ที่ยาไม่มีผลอันตรายที่น่ากลัว แล้วทำไม คนอ้วนๆ ที่มีข่าว ทานยาลดความอ้วนถึงได้ตายกันล่ะคะ ถ้ามียาตัวนี้เป้นทางเลือก แล้วราคามันเป็นไงคะ

 

 

ยานี้หาซื้อได้ตามร้านขายยาใหญ่ๆครับ ราคาเม็ดละ น่าจะ35-40บาท

ยานี้ไม่ได้ลดความอ้วนแต่ทำให้ไขมันที่คุณกินเข้าไปไม่ถูกย่อย ผลคือคุณจะค่อยๆขาดพลังงาน(ถ้าคุณกินพลังงานไม่เกินที่คุณใช้ในแต่ละวัน)ดังนั้นผมจึงเตือนว่าให้ระวังแป้งและโปรตีนด้วยอย่ากินเกินขนาดเพราะถ้ากินจนเกินมันก็ถูกเปลี่ยนไปเป็นไขมันเก็บไว้อยู่ดี

ส่วนถ้าไปหาหมอกินยาลดความอ้วนนั้นเขาจะให้ยากระตุ้นให้ร่างกายของคุณทำงานหรือตื่นตัวมากกว่าปกติเพื่อดึงพลังงานในตัวคุณออกมาใช้ทำให้คุณรู้สึกไม่สบายตัว หนึ่งในตัวยาที่เขาจ่ายให้คุณคือ แอมเฟตามีน ซึ่งก็คือยาม้าในอดีตหรือยาบ้าในปัจจุบันนั่นเอง

สำหรับคนที่ไตรกลีเซอไรด์สูงกินยานี้ไม่กี่วันก็ลดครับ เพราะไตรกลีเซอไรด์ได้มาจากการย่อยไขมัน(ไขมันย่อยได้เป็นกรดไขมันกับ

ไตรกลีเซอไรด์)

ส่วนพวกที่กินแล้วตายน่าจะเป็นยาที่กระตุ้นมากไปหรือคนอยากลดเร็วแล้วกินเกินขนาดหรือไม่ก็เจอยาปลอม(ไม่ใช่ยาตัวนี้นะครับ ตัวนี้กินเยอะก็ไม่เป็นไร ออกฤทธิ์สั้นเฉพาะมื้อ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

กลุ่มยาลดไขมันในเส้นเลือด

 

เสาวรส

 

  hb_16.jpg

 

 

ชื่อวิทยาศาสตร์ :  Passiflora laurifolia  L.

 

ชื่อสามัญ :  Jamaica honey-suckle, Passion fruit, Yellow granadilla

 

วงศ์ :  Passifloraceae

 

ชื่ออื่น : สุคนธรส (ภาคกลาง)

 

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : เป็นไม้เถา เถามีลักษณะกลม ใบ เป็นใบเดี่ยว ขอบใบหยักลึก ที่ก้านใบมีต่อมใบ ดกหนา เป็นมันสีเขียวแก่ ดอก ออกดอกเดี่ยวขนาดใหญ่ ห้อยคว่ำคล้ายกับดวงไฟโคม กาบดอกหุ้มสีเขียว กลีบชั้นนอกเป็นรูปกระบอก ปลายแฉกด้านหลังมีสีเขียวแก่ ด้านในมีสีม่วงอ่อนประกอบด้วยจุดแดง ๆ กลีบชั้นในลักษณะคล้ายกับตัวแฉกของกลีบชั้นนอก สีม่วงอ่อนหรือชมพูอ่อนมีประสีแดงแซม กลีบย่อยกลางมีเป็นชั้น ๆ สองชั้นแต่ละกลีบค่อนข้างกลม สีม่วงแก่ พาดด้วยปลายสีขาวสลับแดง มีเกสรอยู่ตรงกลางสีเขียวนวล ดอกมีกลิ่นหอมแรงจัดมาก ผล เป็นรูปไข่หรือไข่ยาว มีหลายพันธุ์ บางพันธุ์ ผิวผลสีม่วง สีเหลือง สีส้มอมน้ำตาล เปลือกผล เรียบ เนื้อรับประทานได้ มีเมล็ดจำนวนมาก อยู่ตรงกลาง

สรรพคุณ : ลดไขมันในเส้นเลือด

 

วิธีและปริมาณที่ใช้ : ใช้ผลที่แก่จัด ไม่จำกัดจำนวน ล้างสะอาด ผ่าครึ่ง คั้นเอาแต่น้ำ เติมเกลือและน้ำตาลเล็กน้อย ให้รสกลมกล่อมตามชอบ ใช้ดื่มเป็นน้ำผลไม้ ลดไขมันในเส้นเลือด

 

 

 

ข้อมูลจาก  http://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_01_2.htm    

 

 

มา confirm เสาวรสครับว่าเจ๋งจริง ถ้าชอบผลไม้เปรี้ยวไม่ต้องคั้น ผ่าครึ่งตักกินนื้อและเม็ดเลย มื้อละ1-2ลูกแล้วแต่ชอบ ลดได้ดีจริงๆ(พี่สะใภ้ผมกิน  ค่าเลือดสวยเลย) ดีพอๆกับหอมเลย

 

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

yanang02.jpg

 

ย่านาง สมุนไพลมหัศจรรย์ รักษาโรคได้หลายอย่าง โดยเฉพาะเบาหวาน

 

 

ย่านาง สมุนไพลมหัศจรรย์

« เมื่อ: 27 มีนาคม, 2008, 02:08:22 PM »   

 

คัดลอกจากหนังสือ " ย่านาง สมุนไพลมหัศจรรย์ " โดย

ใจพชร มีทรัพย์ ( หมอเขียว ) นักวิชาการสาธารณสุข

นักบำบัดสุขภาพทางเลือก

ครูฝึกแพทย์แผนไทย

 

ย่านาง เป็นพืชสมุนไพร ที่ใช้เป็นอาหาร และ เป็นยามาตั้งแต่โบราณ

หมอยาโบราณอีสาน เรียกชื่อทางยาของย่านางว่า

" หมื่นปี บ่ เฒ่า แปลเป็นภาษาภาคกลางว่า " หมื่นปีไม่แก่ "

..................................

ประสบการณ์ของผู้ป่วยที่ใช้ใบย่านางแก้ไขปัญหาสุขภาพ จนมีผลให้อาการเจ็บป่วยทุเลาเบาบางลง

- เนื้องอกในมดลูก มดลูกโต ตกเลือด ตกขาว ปวดตามร่ายกาย

- มะเร็งปอด

- มะเร็งตับ

- มะเร็งมดลูก

- โรคหัวใจ โรคไต โรคกระเพาะอาหารอักเสบ เนื้องอกในเต้านม

- เบาหวานและความดันโลหิตสูง

- ขับสารพิษ

- ภูมิแพ้ ไอ จาม

- เริ่ม งูสวัด

- ตุ่มผื่นคันที่แขน

- อาการปวดแสบขัด ออกร้อนในทางเดินปัสสาวะ

- นอนกรน ไตอักเสบ

- อาการปวดขาที่แขน

- เล็บมือผุ

- เก๊าต์

 

วิธีใช้

ใช้ใบย่านางในการเพิ่มคลอโรฟิล คุ้มครองเซลล์ ฟื้นฟูเซลล์ ปรับสมดุล

บำบัดหรือบรรเทาอาการที่เกิดจากภาวะไม่สมดุล แบบร้อนเกิน ดังนี้

เด็ก ใช้ใบย่านาง 1-5 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว 200-600 ซีซี

ผู้ใหญ่ ที่รูปร่างผอม บางเล็ก ทำงานไม่ทน ใช้ 5-7 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว

ผู้ใหญ่ที่รูปร่างผอม บาง เล็กทำงานทน ใช้ 7-10 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว

ผู้ใหญ่ที่รูปร่างสมส่วน ตัวตัวโต ใช้ 10-20 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว

 

โดยใช้ใบย่านางสดโขลกให้ละเอียดแล้วเติมน้ำ หรือ ขยี้ใบย่านางกับน้ำหรือปั่นในเครื่องปั่น

( แต่การปั่นในเครื่องปั่นไฟฟ้า จะทำให้ประสิทธิภาพลดลงบ้าง เนื่องจากความร้อนจะไปทำลายความเย็น

ของย่านาง ) แล้วกรองผ่านกระชอนเอาแต่น้ำ ดื่มครั้งละ 1/2 - 1 แก้ว วันละ 2-3 เวลาก่อนอาหารหรือตอนท้องว่าง

หรือผสมเจือจางดื่มแทนน้ำ เพราะถ้าเกิน 4 ชั่วโมง มักจะมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว ไม่เหมาะที่จะดื่ม

แต่ถ้าแช่ในตู้เย็น ควรใช้ภายใน 3-7 วัน โดยให้สังเกตุที่กลิ่นเปรี้ยวเป็นหลัก

......................................

นอกจากนี้แล้ว

ยังสามารถใช้น้ำย่านางมาสระผม ช่วยให้ศีรษะเย็น ผมดกดำหรือชลอผมหงอก

ผสมดินสอพองหรือปูนเคี้ยวหมากให้เหลวพอประมาณ ทาสิว ฟ้า ตุ่ม ผื่นคัน พอกฝีหนอง

...............................

 

ขอบคุณที่ทนอ่าน..........

............รู้แล้ว.......บอกต่อ และ ทำไปใช้ในชีวิตประจำวันก็จะดีนะครับ

 

 

   

 

เอามาฝากค๊าาาาาาาาา  น่าลองใช้เหมือนกัน ค๊า ยาสมุนไพรไทย

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

 

วงศ์ MENISPERMACEAE

ชื่อวิทยาศาสตร์   Tiliacora triandra (Colebr.) Diels

ชื่อพื้นเมือง

ภาคกลาง        เถาย่านาง, เถาหญ้านาง, เถาวัลย์เขียว, หญ้าภคินี

เชียงใหม่        จ้อยนาง, จอยนาง, ผักจอยนาง

ภาคใต้            ย่านนาง, ยานนาง, ขันยอ

สุราษฎร์ธานี   ยาดนาง, วันยอ

ภาคอีสาน       ย่านาง

ไม่ระบุถิ่น        เครือย่านาง, ปู่เจ้าเขาเขียว, เถาเขียว, เครือเขางาม

 

1249227043.jpg

 

จากการทดลองพบว่าสารสกัดจากรากย่านางมีฤทธิ์ต้านเชื้อมาลาเรียชนิด ฟัลซิพารัมในหลอดทดลอง

 

ใบ รสจืดขม รับประทาน ถอนพิษผิดสำแดง แก้ไข้ ตัวร้อน แก้ไข้รากสาด ไข้พิษ ไข้หัว ไข้กลับซ้ำ ใช้เข้ายาเขียว ทำยาพอก ลิ้นกระด้าง คางแข็ง กวาดคอ แก้ไข้ฝีดาษ ไข้ดำแดงเถา

ราก  รสจืดขม กระทุ้งพิษไข้ แก้ไข้ ปรุงยาแก้ไข้รากสาด ไข้กลับ ไข้พิษ ไข้ผิดสำแดง ไข้เหนือ ไข้หัวจำพวกเหือดหัด สุกใส ฝีดาษ ไข้กาฬ รับประทานแก้พิษเมาเบื่อแก้เมสุรา แก้พิษภายในให้ตกสิ้น บำรุงหัวใจ บำรุงธาตุ แก้โรคหัวใจบวม ถอนพิษผิดสำแดง แก่ไม่ผูก ไม่ถ่าย แก้กำเดา แก้ลม

ทั้งต้น ปรุงเป็นยาแก้ไข้กลับ

1.   แก้ไข้

ใช้รากย่านางแห้ง 1 กำมือ ประมาณ 15 กรัม ต้มกับน้ำ 2 แก้วครึ่ง เคี่ยวให้เหลือ 2 แก้ว ให้ดื่มครั้งละ ½ แก้ว ก่อนอาหาร 3 เวลา

2.   แก้ป่วง (ปวดท้องเพราะกินอาหารผิดสำแดง)

ใช้รากย่านางแดงและรากมะปรางหวาน ฝนกับน้ำอุ่น แต่ไม่ถึงกับข้น ดื่มครั้งละ ½-1 แก้วต่อครั้ง วันละ 3-4 ครั้ง หรือทุกๆ 2 ชั่วโมง ถ้าไม่มีรากมะปรางหวาน ก็ใช้รากย่านางแดงอย่างเดียวก็ได้ หรือถ้าให้ดียิ่งขึ้น ใช้รากมะขามฝนรวมด้วย

3.   ถอนพิษเบื่อเมาในอาหาร เช่น เห็ด กลอย ใช้รากย่านางต้นและใบ 1 กำมือ  ตำผสมกับข้าวสารเจ้า 1 หยิบมือ เติมน้ำคั้นให้ได้ 1 แก้ว กรองด้วยผ้าขาวบาง ใส่เกลือและน้ำตาลเล็กน้อยพอดื่มง่ายให้หมดทั้งแก้ว ทำให้อาเจียนออกมา จะช่วยให้ดีขึ้น

4.   ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้

ใช้หัวย่านางเคี่ยวกับน้ำ 3 ส่วน ให้เหลือ 1 ส่วนดื่มครั้งละ ½ แก้ว

การใช้เป็นยาพื้นบ้านในภาคอีสาน

1.   ใช้ราก ต้มเป็นยาแก้อีสุกอีใส ตุ่มผื่น

2.   ใช้รากย่านางผสมรากหมาน้อย ต้มแก้ไข้มาลาเรีย

3.   ใช้ราก ต้มขับพิษต่างๆ

 

รสและคุณค่าทางโภชนาการ

ใบย่านางรสจืด

คุณค่าทางโภชนาการ ข้อมูลจากหนังสือ  Thai Food Composition Institute of Nutrition, Mahidol University (สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล) พบว่า ปริมาณสารสำคัญที่มีมากและโดดเด่นในใบย่านาง คือ ไฟเบอร์ แคลเซี่ยม เหล็ก เบต้าแคโรทีน วิตามินเอ

 

ใบย่านาง 100 กรัม ให้คุณค่าโภชนาการดังนี้

     พลังงาน 95 กิโลแคลอรี่

     เส้นใย 7.9 กรัม

     แคลเซี่นม 155 มิลลิกรัม

     ฟอสฟอรัส 11 มิลลิกรัม

     เหล็ก 7.0 มิลลิกรัม

     วิตามินเอ 30625 IU

     วิตามินบีหนึ่ง 0.03 มิลลิกรัม

     วิตามินบีสอง 0.36 มิลลิกรัม

     ไนอาซิน 1.4 มิลลิกรัม

     วิตามินซี 141 มิลลิกรัม

     หรือโปรตีน 15.5 เปอร์เซนต์

     ฟอสฟอรัส 0.24 เปอร์เซนต์

     โพแทสเซี่ยม 1.29 เปอร์เซนต์

     แคลเซี่ยม 1.42 เปอร์เซนต์

     ADF 33.7 เปอร์เซนต์

     NDF 46.8 เปอร์เซนต์

     DMD 62.0 เปอร์เซนต์

     แทนนิน 0.21 เปอร์เซนต์

 

ประโยชน์ทางอาหาร

ย่านาง มีทุกฤดูกาล ให้ยอดมากในฤดูฝน และให้ผลในฤดูแล้ง

ส่วนที่กินและการปรุงอาหาร

คนไทยนิยมใช้ใบย่านางคั้นเอาน้ำปรุงอาหารต่างๆ เช่น แกงหน่อไม้ ซุบหน่อไม้ (ย่านางสามารถต้านพิษกรดยูริกในหน่อไม้ได้) แกงอ่อม แกงเห็ด หรือขยี้ใบสดกับหมาน้อย  รับประทานถอนพิษร้อนต่างๆ

 

ฝากให้พี่มดแดง หามาบอกเพื่อนๆๆต่อนะค่ะ พอดี ได้ยินมาว่า คน รักษาหาย จากโรค ร้าย ต่างๆๆ เพราะ สมุนไพรตัวนี้นะค่ะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

กลุ่มยาลดไขมันในเส้นเลือด

คำฝอย

 

hb_15.jpg

ชื่อวิทยาศาสตร์ :  Carthamus tinctorius  L.

 

ชื่อสามัญ :  Safflower, False Saffron, Saffron Thistle

 

วงศ์ :  Compositae

 

ชื่ออื่น : คำ  คำฝอย ดอกคำ (เหนือ)  คำยอง (ลำปาง)

 

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ล้มลุก สูง 40-130 ซม. ลำต้นเป็นสัน แตกกิ่งก้านมาก ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปวงรี รูปใบหอกหรือรูปขอบขนาน กว้าง 1-5 ซม. ยาว 3-12 ซม. ขอบใบหยักฟันเลื่อย ปลายเป็นหนามแหลม ดกช่อ ออกที่ปลายยอด มีดอกย่อยขนาดเล็กจำนวนมาก เมื่อบานใหม่ๆ กลีบดอกสีเหลืองแล้วจึงเปลี่ยนเป็นสีแดง ใบประดับแข็งเป็นหนามรองรับช่อดอก ผลเป็นผลแห้ง ไม่แตก เมล็ดเป็นรูปสามเหลี่ยม สีขาว ขนาดเล็ก

 

สรรพคุณ :

 

   *  ดอก หรือกลีบที่เหลืออยู่ที่ผล

     

     - รสหวาน บำรุงโลหิตระดู แก้น้ำเหลืองเสีย แก้แสบร้อนตามผิวหนัง

     - บำรุงโลหิต บำรุงหัวใจ บำรุงประสาท ขับระดู แก้ดีพิการ

     - โรคผิวหนัง ฟอกโลหิต

     - ลดไขมันในเส้นเลือด ป้องกันไขมันอุดตัน

   

   *  เกสร

     - บำรุงโลหิต ประจำเดือนของสตรี

   

   * เมล็ด

     - เป็นยาขับเสมหะ แก้โรคผิวหนัง ทาแก้บวม

     - ขับโลหิตประจำเดือน

     - ตำพอกหัวเหน่า แก้ปวดมดลูกหลังจากการคลอดบุตร

   

  * น้ำมันจากเมล็ด

     - ทาแก้อัมพาต และขัดตามข้อต่างๆ

   

   * ดอกแก่

     - ใช้แต่งสีอาหารที่ต้องการให้เป็นสีเหลือง

 

วิธีและปริมาณที่ใช้ :

         ชาดอกคำฝอย ช่วยเสริมสุขภาพ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด โดยใช้ดอกแห้ง 2 หยิบมือ (2.5 กรัม) ชงน้ำร้อนครึ่งแก้ว ดื่มเป็นเครื่องดื่มได้

สารเคมี

         

        ดอก  พบ Carthamin, sapogenin, Carthamone, safflomin A, sfflor yellow, safrole yellow

       

        เมล็ด จะมีน้ำมัน ซึ่งประกอบด้วยกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัว

 

คุณค่าด้านอาหาร

       

 ในเมล็ดคำฝอย มีน้ำมันมาก สารในดอกคำฝอย พบว่าแก้อาการอักเสบ มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อบางตัวได้

 

 ในประเทศจีน ดอกคำฝอย เป็นยาเกี่ยวกับสตรี ตำรับยาที่ใช้รักษาสตรีที่ประจำเดือนคั่งค้างไม่เป็นปกติ หรืออาการปวดบวม ฟกช้ำดำเขียว มักจะใช้ดอกคำฝอยด้วยเสมอ โดยต้มน้ำแช่เหล้า หรือใช้วิธีตำพอก แต่มีข้อควรระวังคือ หญิงมีครรภ์ ห้ามรับประทาน  

 

 ใช้ดอกคำฝอยแก่ มาชงน้ำร้อน กรอง จะได้น้ำสีเหลืองส้ม (สาร safflower yellow) ใช้แต่งสีอาหารที่ต้องการให้เป็นสีเหลือง

 

 

http://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_01_1.htm

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ไหนๆก็พูดถึงชาเขียวแล้ว ขอนำมาพอเป็นน้ำจิ้มค่ะ

 

ชาเขียว

เรียบเรียงโดย .. เยาวลักษณ์ พิพัฒน์จำเริญกุล

 

695050g3sb2a8720.gif

 

        ถ้าจะพูดถึงเครื่องดื่มที่คนนิยมดื่มกัน มากรองมาจากน้ำ เห็นจะเป็นชา น้ำชา เป็นเครื่องดื่มที่เป็นรู้จักกันดีในประเทศแถบ เอเชีย โดยเฉพาะชาวจีนและชาวญี่ปุ่น ซึ่ง ดื่มกันมานับพันปีเห็นจะได้ ชา ที่นิยมดื่มกันในปัจจุบัน มี 3 ชนิด คือ ชาจีน, ชาเขียว, ชาฝรั่ง ซึ่งแต่ละชนิดมี กรรมวิธีในการผลิตแตกต่างกัน

       แต่ชาที่มี ประโยชน์ต่อสุขมากมากที่สุด ก็คือ ชาเขียว (Green Tea) ซึ่งได้จากการทำใบชาให้แห้งที่ อุณหภูมิสูงอย่างรวดเร็ว ทำให้ใบชาแห้งแต่ ยังคงมีสีเขียวและมีคุณภาพเช่นเดียวกับ ใบชาสด เมื่อนำมาชงกับน้ำร้อนแล้วจะให้ น้ำชาสีเขียว ไม่มีกลิ่น รสฝาดกว่าชาจีน จึง นิยมแต่งกลิ่นด้วยพืชหอมต่างๆ อาทิ กลิ่น มะลิ กลิ่นบัวหลวง

       

       ชาเขียวมี 2 ประเภท คือ ชาเขียวแบบ จีนและชาเขียวแบบญี่ปุ่น ซึ่งแตกต่างกันตรง ที่ชาเขียวแบบจีนจะมีการคั่วด้วยกระทะร้อน แต่ชาเขียวแบบญี่ปุ่นไม่ต้องคั่วใบชา

     

       ในประเทศญี่ปุ่นมีการผลิตชาเขียว ในรูปผง สำหรับบริโภคขึ้น ซึ่งสามารถเติมลงใน อาหารหลายชนิด ตั้งแต่อาหารญี่ปุ่น สเต็ก แฮมเบอร์เกอร์ สปาเกตตี้ และสลัด เป็นต้น ในชาเขียวมีสารที่เป็นประโยชน์ต่อ ร่างกายหลายชนิด เช่น โพลีฟีนอล (polyphenol) มีฤทธิ์ต้านการทำปฏิกริยา ของออกซิเจน ทำให้เกิดอนุมูลอิสระช้าลง ส่งผลให้เซลล์และผิวของเรามีอายุยืน หรือ พูดง่ายๆ ก็คือแก่ช้าลงนั่นเอง นอกจากนี้ยังมี แคทิซิน (catechin) ที่ช่วยต้านความชราได้ ผลดีกว่าวิตามินซีหรือวิตามินอี

       

       และที่สำคัญ เคยมีการศึกษา พบว่าสารสกัดจากชาเขียว และเแคทิซิน ช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็ง เช่น มะเร็งปอด กระเพาะ ลำไส้ มีรายงานจาก ประเทศญี่ปุ่น กล่าวว่า หญิงญี่ปุ่นที่ดื่มชา เขียวอย่างน้อย 3 ถ้วยต่อวัน จะลดความ เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านม จึงทำให้ชา เขียวเป็นที่นิยมของสาวญี่ปุ่นมากขึ้น

และ ประโยชน์ของชา ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนนำมา ใช้คือ เรื่องการลดน้ำหนัก โดยนักวิทยา ศาสตร์ ชื่อ Dulloo และคณะ รายงานไว้ใน วารสาร American Journal of Clinical Nutrition ปี 1999 ว่าสารสกัดจากชาเขียว ช่วยเพิ่มการย่อยสลายไขมันร่างกาย ทำให้ ช่วยลดน้ำหนักได้

     

       นอกจากนี้ชาเขียวยังมี ประโยชน์อีกมากมาย เช่น ป้องกันฟันผุ ช่วยลดการสะสมน้ำตาลและไขมันในเลือด จึงไม่ต้องกังวลเรื่องโรคหัวใจ เบาหวาน โคเลสเตอรอล หรือความดันโลหิตสูง แถม ยังช่วยแก้อาการอาหารเป็นพิษได้อีกด้วย

       เคล็ดลับชาเขียว

 

      การชงชาให้ได้รสชาตินั้น มีเคล็บลับ ง่ายๆ ซึ่งหากทำไม่ดีแล้ว สารโพลีฟีนอล ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ร่างกาย ก็อาจเป็น ตัวทำลายรสชาติได้ โดยทำให้ชามีรสชาติ เหมือนหญ้า ดังนั้น จึงไม่ควรต้มชานานเกิน ไป วิธีง่าย ๆ นั่นคือ ใช้ชา 1 ถุง หรือประมาณ 2-4 กรัม ต่อถ้วย (1-2 ช้อนชา ขึ้นอยู่กับชนิด ของชา) ต้มน้ำให้เดือด จากนั้น ทิ้งไว้ 3 นาที แล้วเทน้ำร้อนลงบนถุงชา และทิ้งไว้ 3 นาที นำถุงชาออก ปล่อยให้ชาเย็นลงอีก 3 นาที

 

      ชาเขียวกับความงาม

   

       สูตรน้ำแร่ชาเขียว : ง่ายๆ เพียง แค่นำน้ำแร่มาต้มให้เดือด ใส่ชาเขียวแบบผง หรือใบชาลงไป อาจเพิ่มใบสะระแหน่สักนิด แล้วทิ้งไว้ให้เย็น หรือนำไปแช่ในตู้เย็น ถ้าใช้ ใบชา ควรกรองเอาแต่น้ำ เทใส่ขวดสเปรย์ ใช้เป็นสเปรย์น้ำแร่ชาเขียว จะเพิ่มความ ชุ่มชื่นและความเปล่งปลั่งให้กับผิวหน้า ฉีด ได้ทุกเวลาที่คุณต้องการความสดชื่น

   สูตรถนอมผิวรอบดวงตา ด้วยชาเขียว : ต้มชาเขียวกับน้ำเดือด แล้วนำไปแช่ตู้เย็นให้เย็นจัด แล้วใช้สำลีชุบ ชาเขียวให้เปียกชุ่ม นำมาวางบริเวณเปลือก ตา ทิ้งไว้ประมาณครึ่งชั่วโมง จะช่วยลดร่อง รอยความอ่อนล้าของผิวรอบดวงตา และยัง ลดการบวมของเปลือกตาและถุงใต้ตา ผิวจะ นุ่มนวล และดูสดชื่นขึ้น

   สูตรลดน้ำหนัก : ดื่มชาเขียว วันละ 3 แก้ว จะช่วยเร่งระบบการเผาผลาญ พลังงานและและไขมันของร่างกายได้ คงจะ เป็นข่าวดีของสาวอยากผอมล่ะ

   ประโยชน์มากมายอย่างนี้ ชาเขียวจึง ไม่ใช่เครื่องดื่มอีกต่อไป แต่เป็นสารอาหารเพื่อ สุขภาพที่ทุกคนควรบริโภคเป็นประจำ ต้อง รีบไปหามาดื่มบ้างแล้ว "วันนี้คุณดื่มชาเขียว หรือยังค่ะ"

 

 

http://www.ku.ac.th/e-magazine/february46/agri/tea.html

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เอามาฝากจ้าจริงเท็จประการใดไม่รู้

 

ตารางประโยชน์ของน้ำผึ้งในการสร้างเสริมสุขภาพและรักษาโรคต่างๆ

โรค ปริมาณและวิธีใช้

1. บำรุงสุขภาพ น้ำผึ้ง 3 ช้อนโต๊ะผสมน้ำอุ่นดื่มทุกวัน

2. อดนอน น้ำผึ้ง 1-2 ช้อนโต๊ะ หรือผสมน้ำผลไม้

3. ยาอายุวัฒนะ น้ำผึ้ง ½ -1 ช้อนโต๊ะ ดื่มทุกวัน เช้า / ก่อนนอน

4. นอนไม่หลับ น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะดื่มเวลาอาหารเย็นหรือก่อนนอน

5 . ไอ หลอดลมอักเสบมีเสมหะ กระเทียม 1-2 กลีบ (ตำให้ละเอียด) น้ำมะนาว ½ เกลือเล็กน้อย พิมเสนหรือการบูร 2-3 เกล็ด น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ

6. ท้องอืด ท้องเฟ้อ น้ำผึ้ง ½ ช้อนโต๊ะน้ำขิงเข้มข้น ½ ถ้วย เกลือเล็กน้อยดื่มวันล่ะ 3 เวลาหลังอาหาร

7. ท้องผูก น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะดื่มก่อนนอน

8. เด็กปัสสาวะรดที่นอน น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา (ไม่ผสมน้ำ) ดื่มก่อนนอน

9. ท้องเสียรุนแรง น้ำผึ้ง 1-2 ช้อนโต๊ะ เกลือ ½ ช้อนชา ผสมน้ำอุ่น 1 แก้ว

10. เด็กหวะนม น้ำผึ้ง ½ -1 ช้อนโต๊ะ ผสมนมให้เด็กดื่ม

11. กล้ามเนื้อเป็นตะคริว น้ำผึ้ง 2 ช้อนชา ดื่มทุกเมื่ออาหาร

12. ล้างแผล แผล ฝี หนอง แผลเรื่อรัง น้ำผึ้ง 1 ส่วน ผสมน้ำ 9 ส่วนชะล้างแผล หัวหอมแดง 2 หัวตำให้ละเอียด+น้ำผึ้งพอกฝี น้ำสุกที่ เย็นแล้วล้างแผลให้สะอาด ใช้สำลีหรือผ้าพันแผลชุบน้ำผึ้งปิดบริเวณแผล

13. แผลไฟไหมน้ำร้อนลวก ถูกท่อไอเสีย ใช้ผ้าพันแผลชุบน้ำผึ้งปิดแผลไว้แล้วเปลี่ยนผ้าพันแผลทุก 12 ชั่วโมง

14. โรคกระเพาะ ดื่มน้ำผึ้ง 2-3 ช้อนโต๊ะขณะปวด และ 3 ช้อนโต๊ะก่อนนอน

15. ผู้ป่วยด้วยโรคพิษสุรา(ตับแข็ง/โรคตับ) น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะผสมน้ำ ½ ถ้วยแก้ว ดื่มวันละ 3 ครั้งเป็นประจำ คอเหล้าดื่มน้ำผึ้ง 1-2 ช้อนโต๊ะก่อนนอน

16. ผู้ป่วยริดสีดวงทวาร น้ำผึ้งผสมกระเทียมโทน บริโภควันละ 3 ครั้งหลังอาหาร

17. เด็กโตช้า และโลหิตจาง น้ำผึ้งผสมนมดื่มเป็นประจำ

18. เสียน้ำหรือเสียเลือด( 10-20 % ) น้ำ 1 ถ้วยแก้วผสมเกลือ ¼ ช้อนชา น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ

19. โรคเด็ก (ทางเดินอาหารผิดปกติ) น้ำผึ้ง 1 ช้อนชาต่อน้ำ 1 ถ้วย

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

อ่าาาา ชอบกระเทียมกับน้ำผึ้งครับ แต่ไม่ได้กินเพื่อลดคลอเรสเตอรอลหรอก อิอิ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

อ่าาาา ชอบกระเทียมกับน้ำผึ้งครับ แต่ไม่ได้กินเพื่อลดคลอเรสเตอรอลหรอก อิอิ

 

ข้อ 16 ไงครับ แก้ริดสีดวง อิอิ ทำให้เข้าหลังบ้านได้

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...