ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
moddang

สาระน่ารู้....สุขภาพ.....

โพสต์แนะนำ

การดูแลสุขภาพขาจากสารพัน “เชื้อโรคจิ๋วในหน้าฝน”

 

 

รศ.พญ.ดาราวรรณ วนะชิวนาวิน ภาควิชาปรสิตวิทยา และ รศ.ดร.นพ.ภัทรชัย กีรติสิน ภาควิชาจุลชีววิทยา

 

ในช่วงหน้าฝนมักทำให้พื้นดินเปียกและ ชื้นแฉะ เรามาดูกันค่ะว่าในพื้นดินและแหล่งน้ำที่ที่เต็มไปด้วยวายร้ายตัวจิ๋วปะปน อยู่ไปทั่ว มีอะไรอยู่บ้าง

 

1. พยาธิปากขอ มักจะพบในดินที่ชื้นแฉะ ระยะตัวอ่อนที่ไชเข้าผิวหนัง จะเข้ากระแสเลือดสู่หัวใจ ปอด ผ่านหลอดลม มายังหลอดอาหาร แล้วไปเจริญเติบโตเป็นระยะตัวเต็มวัยที่ลำไส้เล็ก ผิวหนังบริเวณที่พยาธิตัวอ่อนไชเข้าไป จะเกิดเป็นตุ่มแดงและคัน พยาธิปากขอระยะตัวเต็มวัยจะใช้ส่วนปากเกาะผนังลำไส้และดูดเลือดเป็นอาหาร ทำให้เกิดโลหิตจาง ผู้ที่มีภาวะซีดเรื้อรังอาจทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวได้ ในกรณีที่ระยะตัวอ่อนของพยาธิปากขอของ “สุนัข” หรือ “แมว” ไชเข้าผิวหนังของคน พยาธิจะเคลื่อนที่ในผิวหนังชั้นหนังกำพร้าเท่านั้น ทำให้เกิดรอยโรคนูนแดงเป็นทางคดเคี้ยว

 

2. พยาธิสตรองจีลอยด์ มักพบในดินที่ชื้นแฉะ ระยะตัวอ่อนที่เข้าสู่ร่างกายทางผิวหนัง จะเคลื่อนที่ไปในร่างกายทำนองเดียวกับระยะตัวอ่อนพยาธิปากขอ ผิวหนังบริเวณที่พยาธิตัวอ่อนไชเข้าไป จะเกิดเป็นตุ่มแดงคัน และเกิดรอยโรคนูนแดงเป็นทางคดเคี้ยว ระยะตัวเต็มวัยที่ลำไส้เล็ก จะทำให้เกิดอาการท้องเสีย ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องจะเกิดโรคอุจจาระร่วงเรื้อรังและเกิดภาวะขาด สารอาหาร และซ้ำร้าย หากพยาธิชนิดนี้เดินทางไปอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย อาจทำให้ติดเชื้อแบคทีเรียในกระแสเลือดจนเสียชีวิตได้

553000009924002.JPEG

ผู้ป่วยจากปรสิต "พยาธิปากขอ"

 

 

3. พยาธิใบไม้เลือด พบในแหล่งน้ำที่มีหอยน้ำจืด เมื่อคนเดินหรือแช่ขาในแหล่งน้ำ พยาธิตัวอ่อนระยะเซอร์คาเรียจากหอยจะไชเข้าผิวหนัง ทำให้เกิดตุ่มแดงและคันที่ผิวหนัง ระยะตัวเต็มวัย จะอาศัยในเส้นเลือดดำที่ช่องท้อง ทำให้มีไข้ ปวดท้อง อุจจาระเป็นมูกเลือด ตับม้ามโต ตับแข็ง ท้องมาน และเสียชีวิตได้ พยาธิใบไม้เลือดบางชนิดทำให้เกิดโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบและถ่ายปัสสาวะเป็น เลือด

 

4. พยาธิหอยคัน เป็นพยาธิใบไม้เลือดของสัตว์จำพวกโคกระบือ เมื่อคนเดินในแหล่งน้ำที่มีหอยคัน พยาธิตัวอ่อนระยะเซอร์คาเรียจากหอยจะไชเข้าผิวหนังที่ชั้นหนังกำพร้า ทำให้เกิดตุ่มแดงและคันที่ผิวหนัง แต่ไม่เข้าสู่กระแสเลือด

 

5.อะแคนทะมีบา เป็นโปรโตซัวจำพวกอะมีบาที่อาศัยเป็นอิสระตามดิน โคลน เลน และแหล่งน้ำต่างๆ เข้าสู่ร่างกายทางแผลที่ผิวหนัง ทำให้เกิดแผลเรื้อรัง ลักษณะแผลนูน ขอบแผลไม่เรียบ โรคผิวหนังจากอะแคนทะมีบา มักจะพบในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง การเดินด้วยเท้าเปล่าในดินที่ชื้นแฉะ การเดินหรือแช่เท้าในแหล่งน้ำโดยเฉพาะแหล่งน้ำขังหรือ แหล่งที่มีหอยที่เป็นโฮสต์กลางของพยาธิ อาจเกิดโรคหรืออันตรายที่เราคาดไม่ถึง การใส่รองเท้าที่ปกปิดเท้าหรือรองเท้าบู๊ทจะช่วยป้องกันการติดเชื้อโรคหรือ พยาธิได้ หากไม่สามารถหลีกเลี่ยงการสัมผัสดินที่ชื้นแฉะ หรือแหล่งน้ำได้ ควรใช้สบู่ทำความสะอาดผิวหนังแล้วล้างด้วยน้ำสะอาด

 

ระยะนี้ดูเหมือนว่าฝนจะยังตกอยู่ หลายๆ คนคงรู้สึกหายร้อนไปได้มาก แต่อย่างไรก็ตาม นอกจากปรสิตดังกล่าวแล้ว สิ่งที่มากับเชื้อโรคร้ายในหน้าฝนอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ “เชื้อโรคในน้ำขัง” ที่สัปดาห์หน้าเราจะนำข้อมูลดีๆ ที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์มาฝากกัน

 

พยาธิปากขอ

553000009924001.JPEG

 

 

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9530000093505

ถูกแก้ไข โดย moddang..

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

!37 !37 !37

 

กระเป๋ากันง่วงค่ะ....ใครจะไปเที่ยไหนหยุดหลายๆวัน มีข้อมูลมาฝากค่ะ

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เรียน ภาษาอังกฤษง่ายๆ พร้อมได้ความรู้ค่ะ

 

Learn Human Body - Respiratory System

 

http://www.youtube.com/watch?v=Htelg8Xe6Ws&feature=channel

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

โรคภูมิแพ้

การเกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้

 

 

เมื่อร่างกายได้รับสารชนิดหนึ่งเข้าสู่ร่างกาย ทางผิวหนัง ทางรับประทาน ทางลมหายใจ หรือจากการฉีดยา หากร่างกายรับสารนั้นได้ก็ไม่เกิดผลเสียต่อร่างกาย แต่หากสารนั้นเป็นสารที่ทำให้เกิดภูมิแพ้ก็จะทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกาย อาจจะรุ่นแรงมากจนทำให้เกิดเสียชีวิตกระทันหันเรียกว่ายังไม่ได้ถอนเข็มก็เกิดอาการแล้ว หรือบางกรณีอาจจะเกิดปฏิกิริยาภูมิมาในภายหลังโดยที่ตัวคนไข้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไปรับสารใดมาบ้าง ความรุนแรงและความรวดเร็วของการเกิดภูมแพ้ขึ้นชนิดของภูมิแพ้ซึ่งแบ่งออกเป็น

 

 

IgE - Mediated Reaction

 

เมื่อร่างกายได้รับสารภูมิแพ้ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันชนิด IgE ขึ้นเพื่อกำจัดสิ่งแปลกปลอม

 

IgE จะจับกับโปรตีนของสารภูมแพ้และเกาะกับผิวของเซลล์เม็ดเลือดขาวที่เรียกว่า Mast cell

หลังจากนั้นจะเกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ตามมาทำให้เกิดการหลังของสารเคมอีกหลายชนิด histamine heparin Protease Eosinophil chemotactic factor Neutrophil chemotactic factor ,Leucotriene ,prostaglandin

 

สารต่างๆเหล่านี้จะทำให้เกิดปฏิกิริยาภูมแพ้เฉียบพลันที่เรียกว่า Anaphylaxis ซึ่งมีอาการดังต่อไปนี้

 

ลมพิษ

ความดันโลหิตต่ำ

คัน

Angioedema

 

 

 

 

http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/allergy/allergy.htm

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

อโรคา - บริหารมือและนิ้ว

 

http://www.youtube.com/watch?v=UiLxZ5yiSXo&feature=player_embedded

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

MRI ต่างจาก X-RAYS อย่างไร

 

mri4.jpg

 

ทั้ง MRI และ X-RAYS ต่างก็ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นตัวกลางในการทำให้เกิดภาพ

 

แต่จะแตกต่างกันที่ความถี่ของคลื่น x-rays จะต่ำกว่ามาก จึงทำให้มีการดูดซึมสะสมในร่างกายบางส่วน

ซึ่งหากมีปริมาณที่มากเกินไปก็อาจจะก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้

ส่วนคลื่นของ mri นั้นจะใช้ความถี่ที่สูงในย่านความถี่วิทยุ ซึ่งจะมีพลังงานสูงกว่า

สามารถทะลุทะลวงร่างกายได้มากกว่าจึงมีปริมาณตกค้างน้อยกว่า

ส่วนวิธีทำให้เกิดภาพนั้น

 

x-rays จะใช้รังสีส่วนที่ทะลุผ่านวัตถุซึ่งเปรียบเหมือนเงานั้น

มาสร้างเป็นภาพโดยใช้สารเรืองแสงและแผ่นfilm

หรือใน CT(เอกซเรย์คอมพิวเตอร์) จะใช้สารที่จะเกิดเป็นประจุไฟฟ้าเมื่อถูกรังสี

และนำประจุไฟฟ้านั้นไปแปลงผลด้วยคอมพิวเตอร์และสร้างเป็นภาพ

 

ส่วนในกรณีของ mri นั้นจะมีการให้และรับคลื่นวิทยุเป็นช่วงๆสลับกันไป

การให้คลื่นวิทยุเพื่อกระตุ้นโมเลกุลของไฮโดรเจนให้เกิดการสั่นสะเทือนจากนั้นจึงหยุด

และรับคลื่นวิทยุที่สะท้อนกลับนำมาเข้าคอมพิวเตอร์เพื่อสร้างภาพ

 

ด้วยพื้นฐานของการได้มาของภาพนั้นก่อให้เกิดประโยชน์หลักๆ สามประการคือ

สามารถทะลุทะลวงทุกส่วนของร่างกายได้ดี ไม่มีข้อจำกัดเรื่องความหนา

จึงสามารถสร้างภาพได้ทุกส่วนและทุกระนาบ

 

เช่นบริเวณฐานสมองซึ่งเป็นศูนย์รวมของเส้นประสาท

กระดูกสันหลังและไขสันหลังซึ่งเป็นส่วนที่ x-rays ไม่สามรถทำได้ดี

นอกจากนี้ยังสามารถให้รายละเอียดของภาพได้มากกว่า

 

เช่น เส้นประสาท เส้นเอ็น หมอนรองกระดูกสันหลัง ไขสันหลัง ความผิดปกติของเนื้อสมอง เป็นต้น

 

และที่สำคัญคือไม่เจ็บและสะดวกสบายเพียงนอนนิ่งๆในท่าที่จัดให้ประมาณ 30-60 นาที

ปลอดภัยกว่า เพราะไม่มี x-rays หรือรังสีที่จะดูดซึมตกค้างในร่างกาย

 

สามารถตรวจได้ทุกวัยแม้เด็กแรกเกิดหรือหญิงมีครรภ์

 

ไม่ต้องฉีดสารทึบรังสี ซึ่งมีโอกาสเสี่ยงต่อการแพ้สูงมาก โดยเฉพาะผู้ที่แพ้อาหารทะเล

 

ในการตรวจ mri บางครั้ง (ประมาณ 20% เท่านั้น) ที่จำเป็นที่จะต้องฉีดสาร Gadolinium

เพื่อช่วยเพิ่มรายละเอียดในการตรวจ

 

ซึ่งสารดังกล่าวนี้เป็นสารคนละชนิดกับที่ใช้ในการ x-rays

และใช้ในปริมาณที่น้อยกว่า 1 ต่อ 3

 

จึงทำให้มีโอกาสเสี่ยงต่อการแพ้ยาน้อยมาก

ข้อด้อยของ MRI เมื่อเทียบกับ CT(เอกซเรย์คอมพิวเตอร์)

ใช้เวลาตรวจนานกว่า เนื่องจากมีการตัดภาพในหลายระนาบ

และมีจำนวนภาพที่มากกว่า CT ถึง 2-3 เท่า

 

นอกจากนี้ยังเนื่องมาจากเทคนิคการตรวจ

ซึ่งจะต้องมีการปรับคลื่นความถี่ให้ตรงกับอวัยวะหรือปริมาณโมเลกุลของไฮโดรเจนที่มีอยู่ในส่วนนั้นๆ

 

เนื่องจากเป็นวิธีการตรวจโดยอาศัยโมเลกุลของไฮโดรเจน

ดังนั้นในบางกรณี MRI อาจไม่สามารถมองเห็นได้

เช่น หินปูนเล็กๆ หรือรอยร้าวของกระดูกที่เกิดมานานแล้ว

 

อาจมีคนไข้บางกลุ่มที่ไม่สามารถตรวจด้วยวิธีนี้

เนื่องจากในการตรวจจะต้องเข้าไปนอนอยู่ในสนามแม่เหล็กแรงสูง

ซึ่งจำกัดไว้เป็นโพรงขนาดพอตัวเพื่อให้ได้คุณภาพของสัญญาณที่ดีที่สุด

เช่น ผู้ที่กลัวที่แคบอย่างรุนแรง ผู้ที่มีโลหะติดในร่างกาย

และแพทย์พิจารณาว่าอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อตัวคนไข้เองได้

 

ผู้ที่มีเครื่องกระตุ้นการทำงานของหัวใจหรืออวัยวะส่วนอื่นๆ

x6mri.jpg

 

http://www.mrithailand.com/mrixray.html

ถูกแก้ไข โดย moddang..

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

"โลน" และ "เริม"

 

5990.jpg

 

โรค "โลน" และ "เริม" แม้ออกเสียงใกล้เคียงกันแต่ก็เป็นโรคทั้งที่เหมือน และไม่เหมือนกันหลายประการ ทั้งสองโรคนี้เกิดขึ้นบริเวณอวัยวะเพศหรือตำแหน่งใกล้เคียง และต่างก็เป็นโรคที่สามารถติดต่อได้จากการมีเพศสัมพันธ์ (แต่ถ้า "เริม" เกิดในตำแหน่งอื่น อาจไม่เกี่ยวข้องกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ก็ได้)

ลักษณะของเจ้า 2 วายร้าย

 

 

“ตัวโลน” เกิดจากปรสิตภายนอกตัวเล็ก ๆ ที่ดูดเลือดจากผิวหนัง โดยปกติพอจะสามารถพอมองเห็นด้วยตาเปล่าได้ ลักษณะตัวเล็กอ้วนกลมมากกว่าเหา มีก้ามดูคล้ายก้ามปู จึงมีชื่อเรียกภาษาอังกฤษว่า crab louse มักจะอาศัยบริเวณขนที่อวัยวะเพศ แต่ก็อาจจะเจอได้ที่อื่น เช่น บริเวณขนตา ขนคิ้ว เป็นต้น

ส่วน”เริม” เกิดจากเชื้อไวรัสตัวเล็กที่ชื่อ herpes ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่สามารถเห็นผลของไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคบริเวณผิวหนังได้

 

จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็น “โรคโลน” หรือ “เริม”

โรคโลน จะมีอาการคัน โดยตัวโลนมักจะสร้างความรำคาญมากกว่าก่อโรคร้ายแรง (ถ้าสังเกตดี ๆ จะเห็นเจ้าตัวโลนโลดแล่นไปมาด้วยตาเปล่า)

 

โรคเริม จะมีลักษณะที่สำคัญของโรค คือผู้ป่วยมีกลุ่มตุ่มน้ำใสขนาดเล็กๆ หลาย ๆ ตุ่มรวมกัน อาจแตกออกเป็นแผลตื้น ๆ เจ็บแสบหรือกลายเป็นตุ่มหนอง พบบ่อยที่บริเวณริมฝีปาก และอวัยวะเพศ หรืออาจพบได้ที่ก้นกบหรือแผ่นหลังส่วนล่าง นิ้วมือ หรือที่บริเวณศีรษะทารกแรกเกิด (ซึ่งคลอดออกมาจากช่องคลอดของมารดา ซึ่งมีเริมอยู่ที่อวัยวะเพศ)

ควรรักษาอย่างไร

 

 

โรคโลน วิธีการที่ง่ายที่สุดสำหรับการกำจัด โดยโกนขนที่บริเวณนั้นออกให้หมด และทำความสะอาดโดยใช้ยาสำหรับกำจัดโลนหรือเหา นอกจากนี้ยังควรระวังเรื่องการแพร่กระจายไปยังบุคคลใกล้เคียงด้วย

 

โรคเริม เป็นโรคที่ไม่หายขาด ผู้ป่วยอาจเป็น ๆ หาย ๆ หลายครั้ง การรักษาเป็นไปแบบประคับประคอง แต่ในกรณีที่รุนแรงหรือเป็นมาก อาจใช้ยาต้านไวรัสเริม ซึ่งควรจะมาพบแพทย์ โดยเฉพาะเมื่อกรณีที่โรคเริมเป็นซ้ำ ๆ บ่อยครั้งมาก

 

 

ป้องกันอย่างไร ไม่ให้เป็นโรคโลน – เริม

1. การดูแลสุขอนามัย โดยระวังการสัมผัสกับผู้ป่วยที่เป็นโรคทั้งสองนี้ โดยเฉพาะ ”โรคเริม” หากผิวหนังคุณมีรอยแกะเกาขีดข่วน ก็จะเสี่ยงต่อการติดโรคนี้จากตุ่มน้ำของผู้ป่วยได้ง่ายกว่าผิวหนังที่ปกติ สมบูรณ์

2. ระวังในการมีเพศสัมพันธ์ โดยหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ป่วยที่เป็น”โรคเริม” ซึ่งสามารถติดต่อได้แม้ใส่ถุงยางอนามัย

3. หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของเครื่องใช้ร่วมกับผู้ป่วยที่เป็นโรคทั้งสองนี้ โดยเฉพาะสิ่งของที่ต้องมีการสัมผัสกับผิวหนัง เช่น ผ้าเช็ดตัว ชุดชั้นใน หรือสิ่งของเครื่องใช้อื่น ๆ

 

 

การแก้ไขที่ดีที่สุด ถ้าเป็นโรคโลน-เริม ซ้ำบ่อย ๆ

 

ควรมาพบแพทย์ ถ้ามี ”โลน” เป็นซ้ำบ่อย มาก ควรต้องมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะการมีคู่นอนหลายคน ควรต้องพิจารณาถึงการรักษาคู่นอน ร่วมไปด้วยตั้งแต่แรกเพื่อไม่ให้ติดต่อกลับซ้ำกันไปมา

 

ส่วน”เริม” ถ้าเป็นบ่อยมาก ๆ แนะนำให้มาพบแพทย์เพื่อรับยาที่ใช้กดอาการไม่ให้กำเริบอีก และต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ทำให้โรคเห่อบ่อย ๆ เช่น การพักผ่อนน้อย เป็นต้น

ทั้ง 2 โรคนี้ นอกจากการออกเสียงพยางค์เดียวสั้นๆ ที่คล้ายๆกันแล้ว ก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันเท่าไรนัก ยกเว้นอาจจะติดต่อได้ทางเพศสัมพันธ์ได้ทั้งคู่ อาจเป็นๆ หายๆ การวินิจฉัยแต่แรกเริ่ม ควบคู่ไปกับการที่ผู้ป่วยดูแลสุขอนามัยของตนเอง และได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีก็จะหายวันหายคืนครับ.

 

 

เรื่อง : อ.นพ.สุมนัส บุณยรัตเวช

 

ภาควิชาตจวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

 

ที่มา : http://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/articledetail.asp?id=830

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณคุณมดแดงนะคะที่นำสาระดีๆที่เราอาจมองข้ามมาเล่าสู่กันฟัง +คะแนนให้ค่ะ !thk !thk !thk

ถูกแก้ไข โดย mai

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ข้อมูลที่ไปทำไว้ข้างบ้าน..ไหนๆแล้ว ก็เอามาแปะที่นี่ด้วยเลย

 

:blink: ขอแจมด้วยครับ

มะเขือเทศ

มะเขือเทศอุดมไปด้วยวิตามินสำคัญมากมาย โดยเฉพาะวิตามินเอ บี ซี และสารเบ้ต้าแคโรทีน ที่มีประโยชย์ต่อร่างกายอย่างมาก เพราะมีฤทธิ์ช่วยยับยั้งและต่อต้านการเกิดมะเร็ง และมีสรรพคุณช่วยบำรุงผิวพรรณ ให้สวยสดใสเปล่งปลั่ง ช่วยลดรอยหมองคล้ำได้ ใช้ได้ด้วยการรับประทานและนำมาเป็นส่วนผสมของเครื่องสำอางค์ ด้วยประโยชย์ ของมะเขือเทศที่อุดมไปด้วยวิตามินหลายชนิด ทำให้ผิวพรรณดีขึ้น เหมือนเด็กๆครับ :05 :15 (คาาาย อยาาก ป็งเด็กก็รีบกินซะ)

อิอิ...มานั่งอ่านดูอีกที รู้สึกว่าผองเพื่อนเราในห้องนี้ ก็สนใจเรื่องสุขภาพกันไม่น้อยเลยทีเดียวเชียว แม้แต่คุณ polo ยังเอามะเขือเทศมาหยอดให่ซะอีก สงสัยจะชอบกินนะ..ชิมะ

16.gif

 

ก็เลยไปเอามาฝากเหมือนกันเป็นห่วงคุณ polo นะ

 

ลองอ่านดู ทั้ง 2 ด้าน 23.gif

 

26_20070523084241..jpg

"มะเขือเทศ" มะเขือเทศลูกแดงๆ กินสัปดาห์ละ 10 ครั้ง ลดอัตราการเกิดมะเร็งที่ต่อมลูกหมากได้กว่าร้อยละ 45 มะเขือเทศป้องกันมะเร็งได้ เพราะติดอาวุธทางโภชนาการ คือ สารแอนติออกซิแดนท์ อย่างน้อย 2 ตัวมาในลูกสีแดงๆ นี้ เป็นตัวต้านการเกิดมะเร็ง มะเขือเทศเป็นผักสีแดงที่มีรสชาติอร่อย เพราะมีกรดอะมิโนเป็นตัวเพิ่มรสชาติอาหาร เป็นกรดเดียวกับที่อยู่ในผงชูรส มะเขือเทศราชินี มีสารเบต้าแคโรทีน วิตามินซี และวิตามินอี ค่อนข้างสูง

 

เบต้าแคโรทีน วิตามินซีและอี เป็นกลุ่มของสารอาหารที่ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระที่ก่อให้ร่างกายเกิดการอักเสบ ทำลายเนื้อเยื่อ เกิดต้อกระจกในผู้สูงอายุ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด สารทั้ง 3 ตัว โดยเฉพาะ เบต้าแคโรทีนจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการก่อกลายพันธุ์ ป้องกันเนื้องอก ลดความเสี่ยงการเป็นต้อกระจก มะเร็งและหัวใจได้

 

"แตงโม" เป็นผลไม้ที่สมาคมโรคหัวใจ ในสหรัฐอเมริกา ยอมรับว่า มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีน้ำอยู่ถึงร้อยละ 92 อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ มีปริมาณกลูตาไธโอนมหาศาล ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย มีไลโคปินมาก และสามารถป้องกันโรคมะเร็งที่เกิดจากอนุมูลอิสระได้

นอกจากนี้ ยังมีสรรพคุณช่วยลดความร้อนภายในร่างกาย ช่วยป้องกันและรักษาอาการของโรคไข้หวัด หรือเจ็บคอ ช่วยลดความดันโลหิต และยังช่วยในการซับน้ำปัสสาวะได้ดี เนื้อแตงโม นอกจากจะมีรสหวานแล้ว ยังมีสรรพคุณในการเป็นยาบำรุงร่างกาย ช่วยในการย่อย แถมยังทำให้เจริญอาหาร เพิ่มความสดชื่นให้แก่ชีวิต และขจัดสารพิษออกจากร่างกายได้อย่างหมดจด สำหรับผู้ป่วยโรคไตอักเสบเรื้อรัง สามารถนำเปลือกแตงโมมาต้ม และเคี่ยวจนข้น เพื่อนำมาช่วยบรรเทาอาการโรคได้

ผลไม้ 10 อันดับแรกที่มีสารต้านมะเร็งสูงคือ

1. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก

2. มะเขือเทศราชินี

3. มะละกอสุก

4. กล้วยไข่

5. มะม่วงยายกล่ำ

6. มะปรางหวาน

7. แคนตาลูปเนื้อเหลือง

8. มะยงชิด

9. มะม่วงเขียวเสวยสุก

10. สับปะรดภูเก็ต

กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข...

 

http://www.komchadluek.net/detail/20100506/58124/มะเขือเทศช่วยมะเร็งต่อมลูกหมาก.html19.gif

 

:huh: อ๊ะ..มาดูกันอีกด้าน.....

มะเขือเทศไม่ป้องต่อมลูกหมาก กลับไปช่วยโหม มะเร็งให้ลุกลาม

 

 

ผลการศึกษาใหม่พบว่า การรับประทานมะเขือเทศไม่ได้ช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมาก แต่กลับพบว่าเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ คุณสมบัติใกล้เคียงกับไลโคปีนในมะเขือเทศมีความเชื่อมโยง กับความเสี่ยงที่มะเร็งต่อมลูกหมากจะลุกลาม

 

ดร.อูลริค ปีเตอร์ส จากศูนย์วิจัยมะเร็ง เฟรด ฮัทชิสัน ในเมืองซีแอตเติลของสหรัฐฯ เผยผลการศึกษาที่แย้งกับการศึกษาบางชิ้นก่อนหน้านี้ที่ว่า ไลโคปีนในมะเขือเทศช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากได้

 

เขาศึกษาผู้ชาย 28' date='243 คน อายุ 55-74 ปี ที่ไม่มีประวัติเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากมาก่อน เก็บตัวอย่างเลือด และให้ทำแบบ สอบถามเรื่องสุขภาพและการใช้ชีวิต

 

ผลการติดตามศึกษาเป็นเวลา 8 ปี พบว่ามี 692 คน เป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก เทียบกับคนในวัยเดียวกันและใช้ชีวิตใกล้เคียงกัน 844 คนที่ไม่เป็น เมื่อวิเคราะห์ตัวอย่างเลือดไม่พบว่าทั้งสองกลุ่มมีระดับไลโคปีนแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด แสดงว่า ไลโคปีนไม่ช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากได้

 

ดร.ปีเตอร์สเผยด้วยว่า การศึกษาครั้งนี้ยังพบสิ่งเหนือความคาดหมายว่า ความเสี่ยงที่มะเร็งต่อมลูกหมากจะลุกลามเพิ่มขึ้นตามระดับเบต้าแคโรทีนที่เพิ่มขึ้น เพราะก่อนหน้านี้ทราบกันเพียงว่าเบต้าแคโรทีน เพิ่มความเสี่ยงเป็นมะเร็งปอดและโรคหลอดเลือดหัวใจในผู้สูบบุหรี่ อย่างไร ก็ดี ยังจะไม่แนะนำให้ประชาชนเลิกรับประทานแครอทและผักใบเขียว ซึ่งอุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน แต่จะเตือนเรื่องการรับประทานเบต้าแคโรทีนในรูปของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรับประทานในปริมาณมาก ผู้ที่จะรับประทานควรปรึกษาแพทย์เสียก่อน.

 

http://women.thaiza.com/detail_27313.html

 

อันนี้ไม่มีแหล่งอ้างอิงให้นะคะ...ท่านใดอยากทราบลึกๆ..ลองไปหาอ่านดู :02

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

โรคโลน จะมีอาการคัน โดยตัวโลนมักจะสร้างความรำคาญมากกว่าก่อโรคร้ายแรง (ถ้าสังเกตดี ๆ จะเห็นเจ้าตัวโลนโลดแล่นไปมาด้วยตาเปล่า)

 

2. ระวังในการมีเพศสัมพันธ์ โดยหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ป่วยที่เป็น”โรคเริม” ซึ่งสามารถติดต่อได้แม้ใส่ถุงยางอนามัย

 

 

คำว่าโลดแล่นผมกลัวว่าคนอ่านจะเข้าใจผิด คิดว่าตัวโลนวิ่งเร็วเหมือนตัวหมัด ไม่ใช่นะครับ มันคลานช้าๆให้จับทิ้งได้ง่ายๆครับ

ส่วนข้อ2 อ่านแล้วเข้าใจผิดได้ง่ายๆว่าเชื้อสามารถทะลุถุงยางได้ ทะลุไม่ได้นะครับแต่ติดจากที่อื่นๆ

 

 

 

 

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณ คุณ mor lek !thk

 

สำหรับข้อมูลที่เพิ่มเติมและบางครั้งอาจเกิดการคลาดเคลื่อนได้ระหว่างการโพสต์ ดีจังมีคนช่วยตรวจสอบให้ ขอบคุณค่ะ !gd

 

ไหนๆ วันนี้คุณ Mor lek มาเยี่ยม ขอถามปัญหาหมาๆ แมวๆนะคะ

 

เหตุเกิดเมื่อ2-3 วันแล้ว แต่ยังไม่ได้จัดการ กับปัญหา

 

อยู่ๆก็มาเห็นน้องหมัด ตัวเท่าเม็ดถั่วลิสงขนาดธรรมดาๆ (ไม่ได้หยอดยา ที่คอมานาน นึกชื่อม่ายออก ที่ราคาแพง ที่นิยมใช้กัน เพราะยามีสต็อคซื้อไว้นานแล้ว ตอนไปร้านขายยาที่ซื้อได้ถูก ไม่รู้หมดอายุหรือยัง ) ควรจะทำอย่างไรดีคะ ไม่ได้ให้ยาเหล่านี้น่าจะเกือบปีแล้วมั๊งคะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ไหนๆ วันนี้คุณ Mor lek มาเยี่ยม ขอถามปัญหาหมาๆ แมวๆนะคะ

 

เหตุเกิดเมื่อ2-3 วันแล้ว แต่ยังไม่ได้จัดการ กับปัญหา

 

อยู่ๆก็มาเห็นน้องหมัด ตัวเท่าเม็ดถั่วลิสงขนาดธรรมดาๆ (ไม่ได้หยอดยา ที่คอมานาน นึกชื่อม่ายออก ที่ราคาแพง ที่นิยมใช้กัน เพราะยามีสต็อคซื้อไว้นานแล้ว ตอนไปร้านขายยาที่ซื้อได้ถูก ไม่รู้หมดอายุหรือยัง ) ควรจะทำอย่างไรดีคะ ไม่ได้ให้ยาเหล่านี้น่าจะเกือบปีแล้วมั๊งคะ

 

 

ถ้าเห็นตัวใหญ่ขนาดนั้น(คล้ายเม็ดลูกหยี)จะเป็นเห็บตัวเมียครับ ถ้าไม่เยอะก็จับออกครับเพราะมันไม่ค่อยเคลื่อนไหวจับง่าย ดึงออกมาแล้วก็หย่อนลงชักโครกครับ อย่าบี้ให้แตก แต่ถ้าเป็นตัวผู้หรือหมัดก็บี้ทิ้งได้เลยครับ

ยาใส่ที่คอน่าจะชื่อ Frontline ครับ ถ้ายาหมดอายุ แต่สีสันหน้าตาไม่เปลี่ยนก็ลองใช้ดูครับ อย่างมากก็คงไม่ได้ผลแค่นั้นเองแหละ

การกำจัด ectoparasite ถ้าเอาแบบสบายแต่จ่ายแพงหน่อยก็ใช้ Frontline ถ้าจะเอาถูกแต่ลำบากก็ต้องใช้อาบน้ำด้วยยาฆ่า ectoparasite บ่อยๆ (เสี่ยงชีวิตทั้งคนทั้งสัตว์)

 

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณมากค่ะ ใช่แล้ว fronline แต่เก็บดีค่ะ ยังหาไม่เจอ

 

ส่วนเห็บถ้าบี้ที่พื้นก็ไม่ได้จิงๆหรือคะ นึกว่าที่คนเขาพูดกันเป็นเรื่องที่พูดกันมางั้ันๆ ไม่น่าจะเป็นความจิง

 

ต้องไปแล้วค่ะ แล้วจะมาอ่านคำตอบทีหลัง.. !thk !thk

ถูกแก้ไข โดย moddang..

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณมากค่ะ ใช่แล้ว fronline แต่เก็บดีค่ะ ยังหาไม่เจอ

 

ส่วนเห็บถ้าบี้ที่พื้นก็ไม่ได้จิงๆหรือคะ นึกว่าที่คนเขาพูดกันเป็นเรื่องที่พูดกันมางั้ันๆ ไม่น่าจะเป็นความจิง

 

ต้องไปแล้วค่ะ แล้วจะมาอ่านคำตอบทีหลัง.. 5fc0f220.gif 5fc0f220.gif

 

บี้ได้ครับถ้าไม่กลัวสกปรกเลอะเทอะจากเลือด และยังอาจมีเชื้อโรคบางชนิดด้วย บี้เสร็จก็ล้างมือและพื้นด้วยครับ

ยากกว่าโยนทิ้งลงในขวดน้ำมีฝาปิดเยอะครับ

การบี้ไม่ได้ทำให้เห็บแพร่พันธุ์นะครับ ส่วนใหญ่เล่าต่อกันมาแบบนั้น

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...