ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
moddang

สาระน่ารู้....สุขภาพ.....

โพสต์แนะนำ

อย่ากินยาพร้อมน้ำอะไรบ้าง

 

!Hot !17 !dd

 

 

 

เภสัชกรแนะนำว่า การกินยากับน้ำเปล่า ปลอดภัยกว่า หากกินยากับเครื่องดื่มอื่นๆ อาจส่งผลกับร่างกาย ดังนี้

 

น้ำส้ม

 

อาจยับยั้งเอ็นไซม์ ที่ช่วยเปลี่ยนแปลงยาบางชนิด ให้ร่างกายนำไปใช้ ทำให้ยามีประสิทธิภาพน้อยลง แต่ออกฤทธิ์ข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ มากขึ้น

 

ชา กาแฟ เครื่องดื่มโคล่า

 

การบริโภคคาเฟอีนเป็นประจำขณะกินยารักษาโรคหอบหืด จะทำให้เกิดผลข้างเคียงมากขึ้น คาเฟอีน ทำให้กระเพระอาหารระคายเคือง

 

นม แคลเซียม

 

จะยับยั้งการดูดซึมปฏิชีวนะ บางชนิด

 

แอลกอฮอล์

 

ทำให้ตับเสียหายได้หากดื่มเป็นประจำร่วมกับยาแก้ปวดอะเซตามิโนเฟน ลดประสิทธิภาพยารักษาอาการซึมเศร้า

 

เครื่องดื่มที่มีเส้นใยพืช

 

ใยพืชอาจไปจับกับบาได้มากมายหลายชนิด ทำให้ยาเหล่านั้นมีประสิทธิภาพลดลง

อย่าลืมกินยาตามคำแนะนำที่เภสัชกรเขียนไว้ที่ซองยา ให้ตรงตามเวลา ครบถ้วนตามที่จัดยามาให้ จะทำให้หายจากการป่วยโดยเร็ว ยาบางอย่างหากดินผิดเวลา ก็ทำให้เกิดผลข้างเคียง หรือไม่ได้ผลเต็มที่ได้ เช่น การกินยาก่อนอาหาร ก็ต้องกินก่อน 15-30 นาที เพื่อให้ออกฤทธิ์ตอนท้องว่าง ยาหลังอาหารต้องกินหลังอาหารทันที เพื่อไม่ให้กัดกระเพาะอาหาร เป็นต้น และเวลากินยา ใช้น้ำเปล่า สะอาดๆ ดีกว่าแน่นอน จ้า เป็นห่วงสุขภาพเพื่อนๆทุกคนนะ

 

ที่มา : http://woman.teenee.com/health/1568.html

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

กลูต้าไธโอน(Glutathione) คืออะไร?? ช่วยให้ขาวได้ดั่งฝันจริงหรือ??

 

กลูต้าไธโอน(Glutathione) คืออะไร??

สารกลูตาไธโอน เป็นสารที่เซลล์ในร่างกายเราสามารถสังเคราะห์ขึ้นได้เอง มีคุณสมบัติเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง มีหน้าที่ปกป้องเนื้อเยื่อของอวัยวะทุกส่วนโดยการต่อต้านอนุมูลอิสระที่สะสมอยู่ตามส่วนต่างๆ และกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย ที่สำคัญยังช่วยตับในการทำลายและขจัดสารพิษออกจากร่างกาย เช่น ตัวยาหรือสารพิษที่ไม่ละลายน้ำ เมื่อรวมตัวกับสารกลูตาไธโอน จะช่วยให้ละลายน้ำได้และถูกกำจัดออกจากร่างกายได้ในที่สุด สารพิษจำพวกโลหะหนักหรือสารกำจัดแมลง สามารถถูกขจัดออกจากร่างกายได้โดยการทำงานของกลูตาไธโอนร่วมกับตับ

สาร

กลูต้าไธโอนยังมีหน้าที่สำคัญอีกมากมายในร่างกาย เช่น สังเคราะห์โปรตีน ช่วยให้เม็ดเลือดแดงมีความแข็งแรง ช่วยเร่งการซึมผ่านของสารอาหารเข้าสู่เซลล์ ช่วยปกป้องดีเอ็นเอของเซลล์ไม่ให้ถูกทำลาย ซึ่งเป็นการป้องกันการเกิดมะเร็งนั่นเอง

Glutathione (กลูต้าไทโอน) เป็นสารประเภท Tripeptide ที่ประกอบด้วยกรดอะมิโน 3 ชนิด ได้แก่ Cysteine, Glycine และ Glutamic acid หน้าที่หลักของสารตัวนี่ที่เด่นมีอยู่ 3 ประการ คือ

 

1. Detoxification : กลูต้าไทโอนช่วยสร้างเอ็นไซม์ชนิดต่าง ๆ ในร่างกายโดยเฉพาะ Glutathion-S-transferase ที่ช่วยในการกำจัดพิษออกจากร่างกายโดยไปเปลี่ยนสารพิษชนิดไม่ละลายในน้ำ (ละลายในน้ำมัน) เช่น พวกโลหะหนัก สารระเหย ยาฆ่าแมลง แม้แต่ยาบางชนิด ให้เป็นสารที่ละลายน้ำได้ดีขึ้นและง่ายต่อการกำจัดออกจากร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันตับ1 จากการถูกทำลายโดย แอลกอฮอล์ (สุรา) สารพิษจากบุหรี่ ยาพาราเซตามอลเกินขนาด (Overdose) ฯลฯ

 

2. Antioxidant : กลูต้าไทโอนมีคุณสมบัติเป็นสารต้านปฏิกิริยาอ๊อกซิเดชั่น (Antioxidant) ที่มีความสำคัญตัวหนึ่งในร่างกาย และหากขาดไป วิตามินซีและอี อาจจะทำงานได้ไม่เต็มที่

 

3. Immune Enhancer : ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย2 โดยกระตุ้นการทำงานของเอ็นไซม์หลายชนิดเพื่อให้ร่างกายต่อต้านสิ่งแปลกปลอมรวมถึงเชื้อแบคทีเรียและไวรัส นอกจากนี้กลูตาไทโอน ยังช่วยสร้างและซ่อมแซม DNA สร้างโปรตีนและ protaglandin

โดยสรุปสารกลูต้าไธโอน จึงเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายที่มีกำลังสูงเมื่อเปรียบเทียบกับวิตามินซีหรือวิตามินอี เมื่ออายุคนเรามากขึ้นปริมาณกลูตาไธโอนในร่างกายจะลดน้อยลง มีผลทำให้เซลล์และอวัยวะทุกส่วนเสื่อมโทรมลง ในทางตรงกันข้าม นักวิจัยพบว่าผู้ที่มีอายุยืนยาวและมีสุขภาพแข็งแรง มักจะตรวจพบสารกลูตาไธโอนปริมาณสูงในกระแสเลือด

 

การใช้ประโยชน์ทางการแพทย์จากสารกลูต้าไธโอน

 

สารกลูต้าไธโอนมีการนำมาใช้เป็นยารักษาโรคเกี่ยวกับระบบเส้นประสาทบกพร่อง เช่น โรคพาร์กินสัน โรคอัลไซเมอร์หรือโรคสมองเสื่อม โรคปลายเส้นประสาทอักเสบ มะเร็งกระเพาะ และมะเร็งต่อมลูกหมาก โดยได้รับการรับรองให้ใช้เป็นยามามากกว่า 30 ปี การรักษามักจะให้โดยการฉีดเข้าเส้นหรือเข้าที่กล้ามเนื้อ อาการข้างเคียงของยาดังกล่าวตอนนี้ยังไม่พบ แต่อย่างไรก็ตามพบว่า สารกลูตาไธโอนมีผลข้างเคียงในการยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส ซึ่งทำให้เม็ดสีของผิวหนังเปลี่ยนจากเม็ดสีน้ำตาลดำเป็นเม็ดสีชมพูขาว ผลข้างเคียงนี้จึงทำให้มีการแตกตื่นและนำกลูต้าไธโอนมาเตรียมเป็นยาเม็ดเพื่อใช้เป็นอาหารเสริม เพื่อชะลอวัย และหวังผลให้ผิวขาวใสหรือผิวขาวอมชมพู

ยาเม็ดกลูต้าไธโอน ได้ผลจริงหรือ ?

ในวงการของอาหารเสริม มีการนำสารกลูต้าไธโอนมาทำเป็นยาเม็ดในขนาดความแรงต่างๆ กัน เพื่อใช้ในการรับประทานเป็นอาหารเสริม โดยหวังผลว่า จะสามารถเสริมและทดแทนปริมาณกลูตาไธโอนที่ร่างกายมีไม่พอหรือบกพร่องไป อันเนื่องมาจากสาเหตุของโรคต่างๆ

 

จากการรวบรวมข้อมูลพบว่า สารกลูตาไธโอนจะไม่สามารถถูกดูดซึมจากกระเพาะอาหารได้ เพราะจะถูกย่อยสลายและขับออกทางลำไส้ ดังนั้นการรับประทานยาเม็ดกลูต้าไธโอนจึงไม่ได้รับประโยชน์เลย ไม่ว่าจะกินครั้งละหลายๆ เม็ดหรือในขนาดที่สูงมากๆ ก็ตาม

 

กลูต้าไธโอนช่วยให้ผิวขาวได้จริงหรือ?

ตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น อาการข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์ของการใช้ยากลูต้าไธโอนคือ การยับยั้งการสร้างเซลล์เม็ดสีให้ผิวหนังรวมทั้งการเปลี่ยนเม็ดสีที่สร้างขึ้นจากสีน้ำตาลดำเป็นเม็ดสีชมพูขาว จึงมีการคิดนำเอาสารชนิดนี้มาใช้เป็นอาหารเสริมโดยหวังว่า จะสามารถเสริมและเพิ่มความเข้มข้นของกลูต้าไธโอนในกระแสเลือดให้มากๆ เพื่อหวังผลให้ผิวหน้าขาวอมชมพู แต่ในความเป็นจริงยาเม็ดที่เป็นอาหารเสริมนั้น ทานมากเท่าไหร่ก็จะไม่ได้ผล เพราะสารชนิดนี้จะถูกย่อยสลายและกำจัดออกจากร่างกาย ไม่ถูกดูดซึม แพทย์หลายสำนักจึงได้มีการดัดแปลงโดยทำการฉีดเข้าเส้นหรือเข้ากล้ามเนื้อเช่นเดียวกับการรักษาโรคต่างๆ อย่างไรก็ตามอาการข้างเคียงของผิวขาวเป็นอาการชั่วคราวเท่านั้น จึงไม่ควรใช้ยานี้ในทางที่ผิด

 

ภาวะที่ร่างกายขาดกลูต้าไธโอน

 

เนื่องจากสารดังกล่าวร่างกายสร้างได้เอง แต่สภาวะที่ร่างกายอาจขาดหรือมีกลูต้าไธโอนไม่เพียงพอ เช่น เมื่อร่างกายมีโรคแทรกซ้อน ทำให้กลูต้าไธโอนลดน้อยลงด้วยสาเหตุการถูกทำลายด้วยยารักษาหรือด้วยตัวโรคเอง หากร่างกายขาดหรือมีกลูตาไธโอนน้อย จะมีผลทำให้เกิดโรคตับอักเสบง่าย ทำให้ตับทำงานได้ไม่เต็มที่ มีโอกาสในการเกิดภาวะแทรกซ้อนของระบบทางเดินหายใจ โรคหืด ผู้ที่มีกรรมพันธุ์เกี่ยวกับความบกพร่องของกลูต้าไธโอนมักจะมีปัญหาโรคแทรกซ้อนทางระบบประสาท ผู้ที่ป่วยด้วยโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือโรคเอดส์ ปริมาณกลูต้าไธโอนในระบบเลือดจะต่ำมากๆ ผู้ที่สูบบุหรี่จัดก็เช่นกัน ดังนั้นบุคคลเหล่านี้จะเกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่าย

 

กลูต้าไธโอนในธรรมชาติ

 

พบมากในผลไม้ ได้แก่ แตงโม สตรอเบอรี่ องุ่น ผลอโวกาโด ส่วนในผักพบมากใน หน่อไม้ฝรั่ง สำหรับเนื้อสัตว์จะพบได้ใน ปลา และเนื้อแดง เช่น เนื้อหมู เนื้อวัว จะพบมากใน Asparagus อะโวกาโด และ Walnut ร่างกายเราก็สามารถสร้างกลูต้าไทโอนได้และมีสารหลายชนิดที่ช่วยเพิ่มการสร้างได้แก่ Alpha lipoic acid, Glutamine3, Methionine, Whey Protein, Vitamin B-6, Vitamin B-2 , Vitamin C4 และ Selenium

ดังนั้นควรเลือกรับประทานจากธรรมชาติดีกว่าที่จะหลงไปใช้สารนี้อย่างผิดๆ และขาดความเข้าใจ

ขอบคุณข้อมูลจาก

logo-consumer.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ย่านาง สมุนไพรมหัศจรรย์

 

ไม่ว่าท่านจะเป็นโรคร้ายที่รักษายาก หรือ โรคที่รักษาง่าย หลายโรคที่ย่านางช่วยบำบัด บรรเทาได้

 

Tiliacora_triandra_Diels.jpg

 

ย่านางเป็นพืชสมุนไพร ที่ใช้เป็นอาหารและเป็นยามาตั้งแต่โบราณ หมอยาโบราณภาคอีสาน เรียกชื่อทางยาของย่านางว่า "หมื่นปี บ่ เฒ่า" แปลเป็นภาษากลางว่า "หมื่นปีไม่แก่" กระผมพบความมหัศจรรย์ของย่านางครั้งแรก เมื่อคุณแม่ของกระผมตกเลือดจากมดลูกอย่างรุ่นแรง หลังจากที่กระผมตัดสินใจใช้ย่านาง เป็นสมุนไพรหลักในการบำบัด อาการของคุรแม่ก็ทุเลาอย่างรวดเร็วภายใน 3 วัน เลือดหยุดไหล เมื่อใช้ย่านางบำบัดต่อเนื่องอีก 3 เดือนต่อมา มดลูกที่โต 16 เซนติเมตร ก็ยุบลงเหลือเท่าขนาดปกติ คือเท่าผลชมพู่ ผิวมดลูกที่ขรุขระเหมือนหนังคางคกหายไป อาการตกขาวก็หายไปด้วย

 

ต่อมากระผมทดลองใช้ย่านางกับผู้ป่วยมะเร็งตับ ผู้ป่วยก็อาการดีขึ้น เมื่อครบ 3 เดือนไปตรวจอุลตราซาวด์ พบว่ามะเร็งฝ่อลง จากนั้นก็ทดลองกับผู้ป่วยโรคเกาต์ให้ดื่มน้ำย่านางต่อเนื่อง 3 เดือน อาการปวดข้อหายไป ไปตรวจที่โรงพยาบาลไม่พบโรคเกาต์ ซึ่งทางการแพทย์แผนปัจจุบัน บอกว่าเป็นโรคที่รักษาไม่หาย ได้ทดลองกับผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูง หลังจากดื่มน้ำย่านางต่อเนื่อง พบว่าสามารถลดน้ำตาลในเลือด และลดความดันโลหิตได้ หลังจากนั้นกระผมได้ข้อมูลจากคนแก่อายุ 77 ปี คนหนึ่งที่ดื่มน้ำย่านางต่อเนื่องกัน 1 เดือน พบว่าผมที่เคยขาวกลับเปลี่ยนเป็นสีเทา และมีสีดำแซม ลูกสาวของคนแก่ดังกล่าวเชื้อราทำลายเล็บ รักษาด้วยการทา และกินยาแผนปัจจุบันไม่หาย พอดื่มน้ำย่านางได้ 10 วัน ก็ทุเลาอย่างรวดเร็ว

 

กระผมได้ทดลองให้น้ำย่านางกับผู้ป่วยอีกหลายโรคหลายอาการไม่ว่าจะเป็นอาการไข้ขึ้น ปวดหัว ปวดเมื่อยตามร่างกาย ตุ่ม ผื่นคัน และอาการอื่น ๆ ก็พบว่าอาการทุเลาอย่างรวดเร็ว กระผมได้ข้อมูลจากผู้ป่วยหลายคนที่นำย่านางไปใช้บำบัดรักษาให้ทุเลาเบาบางหรือหายได้

 

ดังนั้น กระผมจึงได้นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับย่านาง เผื่อว่าย่านางอาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยบำบัด บรรเทาทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บของญาติพี่น้องของเพื่อนร่วมโลกได้บ้าง หมอเขียว

 

 

 

 

 

ประสบการณ์การใช้ ตามแนวธรรมชาติบำบัด (โดยหมอเขียว)

 

จากประสบการณ์ที่กระผมได้ใช้ใบย่านางกับผู้ป่วยพบว่า ใบย่านางมีฤทธิ์เย็น จึงใช้ใบย่านางปรับสมดุล บำบัดหรือบรรเทาอาการอันเกิดจากภาวะไม่สมดุลแบบร้อนเกิน

 

กระผมพบว่า ใบย่านางเหมาะอย่างยิ่งที่จะใช้ในการป้องกัน คุ้มครองรักษา และฟื้นฟูลเซลล์ร่างกายของคนในยุคนี้ เพราะคนส่วนใหญ่จะมีภาวะไม่สมดุลแบบร้อนเกิน อันเนื่องมาจากผู้คนส่วนใหญ่มีความเครียดสูง มักถูกบีบคั้น กดดันจากสภาพสังคมและเศรษฐกิจ ให้ต้องแก่งแย่งแข่งขัน เร่งรีบ เร่งร้อน สิ่งแวดล้อมก็มีมลพิษมากขึ้น ต้นไม้ที่ให้ออกซิเจน ร่มเย็น ให้ความชุ่มชื่นก็ถูกทำลายจนเหลือน้อย โลกจึงร้อนขึ้น อาหารและเครื่องดื่มปนเปื้อนสารพิษสารเคมีมากขึ้น ตั้งแต่กระบวนการเริ่มต้นผลิตทางการเกษตร ที่ใช้สารเคมีกันอย่างมากมายจนถึงการปรุงเป็นอาหาร ผู้คนอยู่กับเครื่องไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุปัจจัยหลัก ที่ทำให้คนเจ็บป่วยด้วยภาวะไม่สมดุลแบบร้อนเกิน

 

สถานการณ์ดังกล่าวตรงกันข้ามกับเมื่อ 30-50 ปีที่ผ่านมา ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีความเครียด วิถีชีวิตเรียบง่าย สงบ เอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน ไม่ต้องแก่งแย่งแข่งขันไม่ต้องเร่งร้อนรีบเหมือนคนยุคนี้ สิ่งแวดล้อมมีมลพิษน้อย ป่าไม้มีมาก แม่น้ำลำธารใสสะอาด อาหารการกินไม่มีสารเคมีเจือปน ตั้งแต่กระบวนการผลิตทางการเกษตร จนถึงกระบวนการปรุงอาหารก็ไร้สารพิษ ปรุงแต่น้อย รสไม่จัดจ้าน เครื่องไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ไม่ค่อยมี ผู้คนส่วนใหญ่ในยุคนั้น จึงมักมีภาวะไม่สมดุลแบบเย็นเกิน

 

 

อาการหรือโรคที่เกิดจากภาวะไม่สมดุบแบบร้อนเกิน ซึ่งสามารถใช้ใบย่านางปรับสมดุล บำบัดหรือบรรเทาได้ มีดังต่อไปนี้

 

1. ตาแดง ตาแห้ง แสบตา ปวดตา ตามัว ขี้ตาข้น เหนียว หรือไม่ค่อยมีขี้ตา

 

2. มีสิว ฝ้า

 

3. มีตุ่มแผล ออกร้อนในช่องปาก เหงือกอักเสบ

 

4. นอนกรน ปากคอแห้ง ริมฝีปากแห้งแตกเป็นขุย

 

5. ผมหงอกก่อนวัย รูขุมขนขยายโดยเฉพาะบริเวณหน้าอก คอ ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง

 

6. ไข้ขึ้น ปวดหัว ตัวร้อน ครั่นเนื้อครั่นตัว

 

7. มีเส้นเลือดขอดตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เส้นเลือดฝอยแตก ใต้ผิวหนัง มีรอยจ้ำเขียวคล้ำ

 

8. ปวดบวมแดงร้อนตามร่างกายหรือตามข้อ

 

9. กล้ามเนื้อเกร็งค้าง กดเจ็บ เป็นตะคริวบ่อย ๆ

 

10. ผิวหนังผิดปกติคล้ายรอยไหม้ เกิดฝึหนอง น้ำเหลืองเสียตามร่างกาย

 

11. ตกกระสีน้ำตาลหรือสีดำตามร่างกาย

 

12. ท้องผูก อุจจาระแข็ง หรือเป็นก้อนเล็ก ๆ คล้ายขี้แพะ บางครั้งมีท้องเสียแทรก

 

13. ปัสสาวะมีปริมาณน้อย สีเข้ม ปัสสาวะบ่อย แสบขัด ถ้าเป็นมาก ๆ จะเป็นสีน้ำล้างเนื้อ หรือมีเลือดปนออกมากับปัสสาวะด้วย มักลุกปัสสาวะช่วงเที่ยงคืนถึงตี 2 (คนร่างกายปกติ สมดุล จะไม่ตื่น ปัสสาวะกลางดึก)

 

14. ออกร้อนท้อง แสบท้อง ปวดท้อง บางครั้งมีอาการ ท้องอืดร่วมด้วย

 

15. มีผื่นที่ผิวหนัง ปื้นแดงคัน หรือมีตุ่มใสคัน

 

16. เป็นเริม งูสวัด

 

17. หายใจร้อน เสมหะเหนียวข้น ขาวขุ่น สีเหลืองหรือสีเขียว บางทีเสมหะพันคอ

 

18. โดยสารรถยนต์มักอ่อนเพลีย และหลับขณะเดินทาง

 

19. เลือดกำเดาออก

 

20. มักง่วงนอนหลังกินข้าวอิ่มใหม่ ๆ

 

21. เป็นมากจะยกแขนขึ้นไม่สุด ไหล่ติด

 

22. เล็บมือ เล็บเท้า ขวางสั้น ผุ ฉีกง่าย มีสีน้ำตาลหรือดำคล้ำ อักเสบบวดแดงที่โคนแล็บ

 

23. หน้ามืด เป็นลม วิงเวียน บ้านหมุน คลื่นไส้ อาเจียน มักแสดงอาการเมื่อยอยู่ในที่อับ หรืออากาศร้อน หรือเปลี่ยนอิริยาบถเร็วเกิน หรือทำงานเกินกำลัง

 

24. เจ็บเหมือนมีเข็มแทงหรือไฟฟ้าช๊อต หรือร้อนเหมือนไฟเผาตามร่างกาย

 

25. อ่อนล้า อ่อนเพลีย แม้นอนพักก็ไม่หาย

 

26. รู้สึกร้อนแต่เหงื่อไม่ออก

 

27. เจ็บปลายลิ้น แสดงว่าหัวใจร้อนมาก ถ้าเป็นมาก ๆ จะเจ็บแปลบที่หน้าอก และอาจร้าวไปที่แขน

 

28. เจ็บคอ เสียงแหบ คอแห้ง

 

29. หิวมาก หิวบ่อย หูอื้อ ตาลาย ลมออกหู หูตึง

 

30. ส้นเท้าแตก ส้นเท้าอักเสบ เจ็บส้นเท้า รองช้ำ ออกร้อน บางครั้งเหมือนไฟช็อต

 

31. เกร็ง ชัก

 

32. โรคที่เกิดจากภาวะไม่สมดุลแบบร้อนเกิน ได้แก่ โรคหัวใจ เป็นหวัดร้อน ไซนัสอักเสบ หลอดลมอักเสบ กล่องเสียงอักเสบ ตับอักเสบ กระเพาะอาหารลำไส้อักเสบ ไทรอยด์เป็นพิษ ริดสีดวงทวาร มดลูกโต ตกขาว ตกเลือด ปวดมดลูก หอบหืด ไตอักเสบ ไตวาย นิ่วไต นิ่วกระเพาะปัสสาวะ นิ่วถุงน้ำดี กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ไส้เลื่อน ต่อมลูกหมากโต โรคเกาต์ ความดันโลหิตสูง เนื้องอก มะเร็ง พิษของแมลงสัตว์กัดต่อย

 

 

วิธีใช้

 

ใช้ใบย่านางในการเพิ่มคลอโรฟิล คุ้มครองเซลล์ ฟื้นฟูเซลล์ ปรับสมดุล บำบัดหรือบรรเทาอาการที่เกิดจากภาวะไม่สมดุล แบบร้อนเกิน ดังนี้

 

1. เด็ก ใช้ใบย่านาง 1-5 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว (200-300 ซี.ซี.)

 

2. ผู้ใหญ่ที่รูปร่างผอม บาง เล็ก ทำงานไม่ทน ใช้ 5-7 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว

 

3. ผู้ใหญ่ที่รูปร่างผอม บาง เล็ก ทำงานทน ใช้ 7-10 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว

 

4. ผู้ใหญ่ที่รูปร่างสมส่วนถึงตัวโต ใช้ 10-20 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว โดยใช้ใบย่านางสดโขลกให้ละเอียดแล้วเติมน้ำ หรือ ขยี้ใบย่านางกับน้ำ หรือปั่นในเครื่องปั่น (แต่การปั่นในเครื่องไฟฟ้าจะทำให้ประสิทธิภาพ

 

ลดลงบ้าง เนื่องจากความร้อนจะไปทำลายความเย็นของย่านาง) แล้วกรองผ่าน กระชอนเอาแต่น้ำ ดื่มครั้งละ 1/2-1 แก้ว วันละ 2-3 เวลา ก่อนอาหาร ตอนท้องว่าง หรือผสมเจือจางดื่มแทนน้ำเปล่า ในอุณหภูมิ

 

ห้องปกติ ควารดื่มภายใน 4 ชั่วโมง หลังจากทำน้ำย่านาง เพราะถ้าเกิน 4 ชั่วโมง มักจะมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว ไม่เหมาะที่จะดื่ม จะทำให้เกิดภาวะร้อนเกิน แต่ถ้าแช่ในน้ำแข็งหรือตู้เย็น ควรใช้ภายใน 3-7 วัน โดยให้

 

สังเกตุกลิ่นที่กลิ่นเหม็นเปรี้ยวเป็นหลักฯลฯ

 

หมายเหตุ.... สำหรับท่านที่ไม่ค่อยได้รับประทานผักสด ร่างกายก็จะขาดวิตามิน และคลอโรฟิล ในใบย่านางมีวิตามิน คลอโรฟิลคุณภาพดี มีพลังสด พลังชีวิตประสิทธิภาพสูง ในการปกป้อง

 

คุ้มครองและฟื้นฟูเซลล์ของร่างกายได้อย่างดีเยี่ยม หลายครั้งที่การดื่มสมุนไพรเพียงอย่างเดียว ไม่เพียงพอต่อการแก้ไขปัญหาสุขภาพ ก็ควรจะทำอย่างอื่นเสริมในการปรับสมดุลร้อนหรือเย็นของร่างกายด้วย

 

จะทำให้ประสิทธิภาพในการดูแลแก้ไขปัญหาสุขภาพดียิ่งขึ้น เช่น การปรับสมดุลด้านอิทธิบาท อารมณ์ อาหาร ออกกำลังกาย อากาศ เอนกาย และเอาพิษออก ซึ่งรายละเอียดของการปรับสมดุลร้อน-เย็น

 

สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ในหนังสือถอดรหัสสุขภาพ ร้อน-เย็น ไม่สมดุล โดยใจเพชร มีทรัพย์ (หมอเขียว)

 

 

 

 

ถ้าไม่มีใบย่านางหรือร่างกายไม่ถูกกับย่านาง ก็สามารถใช้สมุนไพรฤทธิ์เย็นตัวอื่น ๆ แทนได้

:wub: :blink: :rolleyes:

 

ตัวอย่าง ประสบการณ์ของผู้ป่วย (บางส่วน) ที่ใช้ใบย่านางแก้ไขปัญหาสุขภาพ จนมีผลให้อาการเจ็บป่วยเบาบางลง

 

1. นางครั่ง มีทรัพย์ อายุ 53 ปี 28 หมู่ 7 ตำบล ดอนตาล อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร เป็นเนื้องงอกที่มดลูก มดลูกโต ตกเลือด ตกขาว มึนชา ปวดตามร่างกาย ดื่มน้ำย่านางพร้อมกับปฏิบัติตัวแก้ภาวะร้อนเกิน อาการทุเลาตามลำดับ หลงจากปฏิบัติได้ 3 เดือนอาการ ดังกล่าวหายไป

 

2. นางสมนึก ห้องแซง อายุ 67 ปี 51/386 หมู่ 1 ตำบลนิคมคำสร้อย อำเภอนิคมคำสร้อย จังหวัดมุกดาหาร เป็นมะเร็งปอดดื่มน้ำย่านาง พร้อมปรับสมดุลร้อน-เย็น ภายใน 3 เดือนผ่านไป อาการทุเลาลงมาก ไปทำอุลตร้าซาวด์ พบว่าก้อนมะเร็งฝ่อลง

 

3. นางทองจีน ยิ้มใส่ อายุ 55 ปี 175 หมุ่ 12 ตำบลบุ่ง อำเภอเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ เป็นมะเร็งตับ ดื่มน้ำย่านางพร้อมกับปฎิบัติตัวแก้ภาวะร้อนเกิน 3 เดือนผ่านไป อาการทุเลาลงมาก ไปตรวจอุลตราซาวด์ พบว่าก้อนมะเร็งฝ่อลง

 

4. นางผัน ถนอมบุญ อายุ 45 ปี 109 หมู่ 10 ตำบลจานลาน อำเภอพนา จังหวัดอำนาจเจริญ เป็นมะเร็งมดลูก ดื่มน้ำย่านางพร้อมกับปฏิบัติตัวแก้ภาวะร้อนเกินได้ 2 สัปดาห์ อาการทุเลาลงมาก พอได้ 2 เดือน ไปตรวจที่โรงพยาบาลไม่พบเซลล์มะเร็ง

 

5. นางสาวสงัด สีน้ำเงิน อายุ 58 ปี 442 หมุ่ 1 ตำบลในเมือง อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา เป็นโรคหัวใจ โรคไต โรคกระเพาะ อาหารอักเสบ เนื้องอกที่เต้านม ดื่มน้ำย่านางพร้อมกับปฏิบัติตัวแก้ภาวะร้อนเกิน 1 เดือน อาการทุเลาลงมาก เนื้องงอกที่เต้านมยุบหายไป

 

ข้อมูล จากส่วนหนึ่งของ หนังสือ ย่านาง โดยหมอเขียว

 

http://www.juicerclub.com/index.php?option=com_content&view=article&id=59&Itemid=80

ถูกแก้ไข โดย moddang..

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

มหัศจรรย์ย่านาง จากซุปหน่อไม้ถึงเครื่องดื่มสุขภาพ

 

ข้อมูลสื่อ

File Name : 370-010

นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่ม : 370

เดือน-ปี : 02/2553

คอลัมน์ : บทความพิเศษ

นักเขียนหมอชาวบ้าน : รศ.ดร. กรณ์กาญจน์ ภมรประวัติธนะ

Mon, 01/02/2553 - 00:00 — somsak

 

370DSC_0103%284C%29.jpg

 

 

ย่านาง หรือ Tiliacora triandra Diels อยู่ในวงศ์ Menispermaceae

ย่านางมีถิ่นกำเนิดในตอนกลางของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พืชวงศ์ย่านางนี้มีราว 70 ตระกูล ส่วนใหญ่เป็นไม้เลื้อยในป่าเขตร้อนและในป่าไม้ผลัดใบในทวีปเอเชียและอเมริกาเหนือ ย่านางพบขึ้นตามป่าผลัดใบ ป่าดงดิบ และป่าโปร่ง ในทุกภาคของประเทศไทย

 

ภาคกลางเรียก...... เถาย่านาง เถาหญ้านาง เถาวัลย์เขียว หญ้าภคินี

 

เชียงใหม่เรียก............ จ้อยนาง จอยนาง ผักจอยนาง

 

ภาคใต้เรียก.......ก ย่านนาง ยานนาง ขันยอ ยาดนาง วันยอ

 

ภาคอีสานเรียก........ ย่านาง

 

 

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

 

ย่านางเป็นไม้เลื้อย เป็นเถากลมขนาดเล็กเหนียวมีสีเขียว เถาอ่อนมีขนอ่อนปกคลุม เถาแก่ผิวเรียบมีสีเข้ม มีข้อห่างๆ รากมีขนาดใหญ่มีหัวใต้ดิน

 

ใบเป็นใบเดี่ยวติดกับลำต้นแบบสลับ ใบคล้ายรูปไข่ หรือรูปไข่ขอบขนาน ปลายใบเรียว ฐานใบมน ขนาดใบยาว 5-10 เซนติเมตร กว้าง 2-4 เซนติเมตร ขอบใบเรียบ ผิวใบเป็นคลื่นเล็กน้อย ก้านใบยาว 1-1.5 เซนติเมตร ใบมีสีเขียวเข้ม หน้าและหลังใบเป็นมัน

 

ดอกแยกเพศอยู่คนละต้น ไม่มีกลีบดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบและตามลำต้น ช่อหนึ่งมี 3-5 ดอก ยาว 2-5 เซนติเมตร

 

ต้นเพศผู้จะมีดอกสีน้ำตาล อับเรณูสีเหลืองอ่อน ดอกย่อยของต้นเพศผู้จะมีขนาดเล็ก ก้านช่อดอกมีขนสั้นๆ ละเอียด ปกคลุมหนาแน่น

 

ดอกเพศเมียมีขนาดเล็กมาก ขนาดโตกว่าเมล็ดงาเล็กน้อย สีเหลืองอ่อนหรือเหลืองแกมเขียว

 

ผลเป็นรูปไข่มีขนาดเล็ก เมื่ออ่อนมีสีเขียว สุกจะมีสีแสดถึงแดง กว้าง 6-7 มิลลิเมตร ยาว 7-10 มิลลิเมตร เมล็ดแข็งรูปเกือกม้า

 

ย่านางเป็นพืชที่ขึ้นในดินทุกชนิด และปลูกได้ทุกฤดู ขยายพันธุ์โดยการใช้หัวใต้ดิน เถาแก่ที่ติดหัว ปักชำยอด หรือการเพาะเมล็ด เป็นไม้ที่ปลูกง่ายโดยปลูกเป็นหลุมหรือยกร่องก็ได้

 

 

 

ใบย่านาง 100 กรัมให้คุณค่าโภชนาการดังนี้ :o

 

พลังงาน 95 กิโลแคลอรี

 

เส้นใย 7.9 กรัม

 

แคลเซียม 155 มิลลิกรัม

 

ฟอสฟอรัส 11 มิลลิกรัม

 

เหล็ก 7.0 มิลลิกรัม

 

วิตามินเอ 30,625 หน่วยสากล

 

วิตามินบี 1 0.03 มิลลิกรัม

 

วิตามินบี 2 0.36 มิลลิกรัม

 

ไนอาซิน 1.4 มิลลิกรัม

 

วิตามินซี 141 มิลลิกรัม

 

โปรตีน 15.5 เปอร์เซ็นต์

 

ฟอสฟอรัส 0.24 เปอร์เซ็นต์

 

โพแทสเซียม 1.29 เปอร์เซ็นต์

 

แคลเซียม 1.42 เปอร์เซ็นต์

(ข้อมูลจาก สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล)

 

 

ย่านางใช้เป็นอาหาร :wub: :blush:

 

ย่านาง เป็นพืชสมุนไพรที่ใช้เป็นอาหารและเป็นยามาแต่โบราณ ย่านางมีชื่อทางยาในภาคอีสานว่า "หมื่นปี บ่ เฒ่า" แปลเป็นภาษาภาคกลางว่า "หมื่นปีไม่แก่"

 

ใบย่านาง เก็บบริโภคได้ตลอดปี ยอดอ่อนแตกใบมากในฤดูฝน ยอดอ่อนของเถาย่านางใช้กินแกล้มแนมกับอาหารเผ็ด ชาวไทยอีสานและชาวลาวใช้ใบย่านางคั้นเอาน้ำปรุงอาหารต่างๆ ทำให้น้ำซุปข้นขึ้น เช่น แกงหน่อไม้ ซุปหน่อไม้ ย่านางสามารถลดฤทธิ์กรดยูริกในหน่อไม้ได้ ลดความขมของหน่อไม้ และเพิ่มคลอโรฟิลล์และบีตาแคโรทีนให้กับอาหารดังกล่าว

นอกจากนี้ยังใส่น้ำคั้นใบย่านางในแกงเห็ด ต้มเปรอะ แกงขี้เหล็ก แกงขนุน แกงผักอีลอก แกงยอดหวาย แกงอีลอก นำไปอ่อมและหมก

ข้อควรระวังคือ ต้องทำให้สุก หรือขยี้ใบย่านางสดกับหมาน้อย กินถอนพิษร้อนต่างๆ ชาวกัมพูชาใส่ใบย่านางในแกงต่างๆ

ชาวใต้ใช้ยอด ใบเพสลาด (หมายถึงใบที่ไม่อ่อน ไม่แก่เกินไป) นำไปแกงเลียง แกงหวาน แกงขี้เหล็ก น้ำคั้นจากใบช่วยลดความขมของใบขี้เหล็กได้ นอกจากนี้ยังนำไปผัด แกงกะทิ และหั่นซอยกินกับข้าวยำได้อีก ผลสุกใช้กินเล่น ส่วนชาวเหนือใช้ยอดย่านางอ่อนนำมาลวกเป็นผักจิ้มน้ำพริก ใบแก่คั้นน้ำนำมาใส่แกงพื้นเมือง เช่น แกงหน่อไม้ แกงแค

 

ประโยชน์ใช้สอยอื่นๆ น้ำสีเขียวจากใบย่านางใช้ย้อมผ้าได้ ใบใช้เป็นอาหารสัตว์กินพืช เช่น วัว ควาย ส่วนเถามีความเหนียวใช้มัดสัมภาระได้

 

น้ำตาลไซโลสเป็นองค์ประกอบหลักของสารเหนียวจากน้ำตาลโพลีแซ็กคาไรด์ของใบย่านาง สกัดได้ด้วยน้ำอุณหภูมิ 85 องศาเซลเซียสที่ต้มเป็นเวลานาน สารเหนียวที่ได้มีคุณสมบัติคล้ายไซแลนที่ได้จากสาหร่ายทะเล น้ำตาลโพลีแซ็กคาไรด์นี้เองที่เป็นตัวเพิ่มความหนืดให้แก่อาหารที่ใส่ใบย่านางต้ม

 

สรรพคุณทางยาดั้งเดิม :D

 

จากการค้นคว้ายังไม่พบว่าประเทศใดใช้ใบย่านางหลากหลายเท่ากับประเทศไทย

 

ใบย่านาง มีรสจืดขม กินได้ ใช้ถอนพิษผิดสำแดง แก้ไข้ ตัวร้อน แก้ไข้รากสาด ไข้พิษ ไข้หัว ไข้กลับซ้ำ ใช้เข้ายาเขียว ทำยาพอก ลิ้นกระด้าง คางแข็ง กวาดคอ แก้ไข้ฝีดาษ ไข้ดำแดงเถา

ราก มีรสจืดขม กระทุ้งพิษไข้ แก้ไข้ ปรุงยาแก้ไข้รากสาด ไข้กลับ ไข้พิษ ไข้ผิดสำแดง ไข้เหนือ ไข้หัวจำพวกเหือดหัด สุกใส ฝีดาษ ไข้กาฬ กินแก้พิษเมาเบื่อ แก้เมาสุรา แก้พิษภายในให้ตกสิ้น บำรุงหัวใจ บำรุงธาตุ แก้โรคหัวใจบวม ถอนพิษผิดสำแดง แก้อาการท้องผูก แก้กำเดา แก้ลม

 

ภาคอีสานใช้รากต้มเป็นยาแก้อีสุกอีใส ตุ่มผื่น และใช้รากย่านางผสมรากหมาน้อย ต้มแก้ไข้มาลาเรีย

 

รากย่านางเป็นส่วนประกอบสำคัญของยาเบญจโลกวิเชียร ยาดังกล่าวเป็นยาแก้ไข้ใช้รักษาโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ในขณะเริ่มเป็นได้

 

ย่านางทั้งต้น ปรุงเป็นยาแก้ไข้กลับ แก้ป่วง (ปวดท้องเพราะกินอาหารผิดสำแดง) ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ และถอนพิษเบื่อเมาในอาหาร เช่น เห็ด กลอย โดยใช้รากย่านางต้นและใบ1 กำมือ ตำผสมกับข้าวสาร

 

(ข้าวเจ้า) 1 หยิบมือ เติมน้ำ 1 แก้ว ขยำคั้นให้น้ำออกมา กรองด้วยผ้าขาวบาง เติมเกลือและน้ำตาลเล็กน้อยพอดื่มง่าย ดื่มให้หมดทั้งแก้วทำให้อาเจียนออกมา จะช่วยให้ดีขึ้น อย่าเอาไปปั่นเพราะย่านางเป็นยาเย็น

 

ความร้อนจากรอบหมุนเร็วของเครื่องปั่นจะทำให้ฤทธิ์ชีวภาพของใบย่านางสูญหายไป

 

ย่านางมากคุณค่า :lol: :wub:

 

ใบย่านางมีรสจืด คุณค่าทางโภชนาการพบว่า ปริมาณสารสำคัญที่มีมากและโดดเด่นในใบย่านางคือ เส้นใยอาหาร แคลเซียม เหล็ก บีตาแคโรทีน และวิตามินเอ

 

IMG_4053.jpg

 

การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของผักพื้นบ้านไทย จำนวน 6 ชนิด ได้แก่ ผักกูด ผักติ้ว ผักปลังขาว ย่านาง ผักเหมียง และผักหวานบ้าน โดยการสกัดสารสำคัญด้วยแอลกอฮอล์จากผักแต่ละชนิด ทดสอบฤทธิ์

 

ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดจากผักทั้ง 6 ชนิดเปรียบเทียบกับตัวควบคุม วิตามินซี และวิตามินอี สารสกัดจากย่านางส่วนที่ละลายน้ำและส่วนที่ไม่ละลายน้ำให้ค่า IC50 499.24 และ 772.63 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร

 

ตามลำดับ เมื่อเทียบกับค่าที่ได้จากวิตามินซี และวิตามินอีที่ IC50 9.34 และ 15.91 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร ตามลำดับ

 

สารสกัดใบย่านางมีสารฟีนอลิกเป็นสารสำคัญ งานวิจัยจากต่างประเทศพบว่า สารฟีนอลิกหลักในใบย่านางคือ กรดพาราไฮดรอกซีเบนโซอิก (p-hydroxy benzoic acid) มิเนโคไซด์ (minecoside) สารกลุ่มฟลา

 

โวนไกลโคไซด์ อนุพันธ์กรดซินนามิก (flavones glycoside cinnamic acid derivative) และโมโนอีพอกซีบีตาแคโรทีน (monoepoxy-betacarotene)

 

ข้อมูลโภชนาการกล่าวว่า..... ใบย่านางมีปริมาณธาตุเหล็กสูง

 

ธาตุเหล็กในอาหารแบ่งออกได้เป็น 2 รูปแบบ คือเหล็กที่อยู่ในรูปของฮีมพบในเนื้อสัตว์ซึ่งร่างกายสามารถดูดซึมได้ดี และเหล็กที่ไม่ได้อยู่ในรูปของฮีม พบในธัญพืช ผัก ผลไม้ ร่างกายดูดซึมได้ไม่ดี

 

การดูดซึมเหล็กที่ไม่ได้อยู่ในรูปของฮีมขึ้นกับสารอื่นในอาหาร ได้แก่ วิตามินซี ซึ่งช่วยเพิ่มการดูดซึมเหล็ก ส่วนไฟเทตและเส้นใยอาหาร มีผลยับยั้งการดูดซึมเหล็ก

 

งานวิจัยในประเทศไทยเพื่อวิเคราะห์หาปริมาณ เหล็ก วิตามินซี ไฟเทต เส้นใยอาหาร และชีวปริมาณออกฤทธิ์ของเหล็กในผักพื้นบ้านภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบว่าใบย่านางมีปริมาณวิตามินซีสูงที่สุด และมี

 

เส้นใยอาหาร ที่ 6.56 กรัมต่อ 100 กรัมน้ำหนักแห้ง และเมื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณเหล็ก วิตามินซี ไฟเทต และเส้นใยอาหาร พบว่าปริมาณวิตามินซีมีความสัมพันธ์กับปริมาณเส้นใยอาหารในทางบวก

 

ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ p<0.05 ทำให้เห็นว่าใบย่านางเป็นแหล่งธาตุเหล็กที่สามารถดูดซึมได้ดีโดยร่างกาย เพราะมีวิตามินซีปริมาณสูง ช่วยการดูดซึมธาตุเหล็กดังกล่าว

 

งานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งในประเทศไทย !Announce

 

ตรวจสอบฤทธิ์ระงับปวดและฤทธิ์ต้านการอักเสบของพืชผักพื้นบ้านอีสาน 10 ชนิด การตรวจหาฤทธิ์ระงับปวดโดยใช้ writhing test และ tail flick test สำหรับการตรวจฤทธิ์ต้านอักเสบ ใช้ rat hind paw edema model

 

ผลการทดสอบใช้สารสกัดพืชผักพื้นบ้านด้วยน้ำ ขนาด 1 กรัมต่อน้ำหนักตัวของหนูเพศผู้ 1 กิโลกรัม พบว่าสารสกัดจาก ใบตำลึง ใบย่านาง ผักติ้วแดง ผักกาดฮีน มะระขี้นก ผักชะพลู และผักชีลาว มีผลลดการเกิด writhing ในหนูร้อยละ 35-64 (p<0.05)

 

การทดสอบฤทธิ์ระงับปวดด้วย tail flick test พบว่าสารสกัดจากใบตำลึงและใบย่านางมีฤทธิ์ระงับปวด จากนั้นคัดเลือกสารสกัดที่มีฤทธิ์มากที่สุด 4 ชนิด ได้แก่ ใบตำลึง ใบย่านาง ผักติ้วแดง และผักกาดฮีนมาทำการทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบโดยใช้คาราจีแนนเป็นสารระตุ้น พบว่าสารสกัดทั้ง 4 ชนิดไม่มีฤทธิ์ต้านอักเสบในสัตว์ทดลอง ผู้วิจัยเชื่อว่าสารสกัดจากใบตำลึงและใบย่านางอาจจะออกฤทธิ์ระงับปวดต่อระบบประสาท

 

ส่วนงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยมหิดลในห้องทดลองขั้นต้นพบว่า สารสกัดใบย่านางมีฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของรีเซ็ปเตอร์ที่ขนคอเลสเตอรอลเข้าสู่ตับ แต่ไม่ทราบว่าจะมีผลลดคอเลสเตอรอลในเลือดของระบบร่างกายหรือไม่ การค้นพบนี้อาจเกี่ยวข้องกับคุณสมบัติของย่านางที่ใช้รักษาโรคหัวใจมาแต่โบราณได้ หากแต่ต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป

 

งานวิจัยทางเคมีพบว่า รากย่านางมีอัลคาลอยด์หลายชนิด ได้แก่ Tiliacorine, Tiliacorinine, Nortiliacorinine A, Tiliacotinine 2-N-oxide, Tiliandrine, Tetraandrine, และ D-isochondendrine การทดลองในห้องปฏิบัติการพบว่าสารสกัดจากรากย่านางมีฤทธิ์ต้านเชื้อมาลาเรียฟัลซิพารัมในหลอดทดลอง สารที่มีฤทธิ์ดังกล่าวคือ Tiliacorine และ Tiliacorinine

 

กระแสน้ำย่านาง !v@

 

ปัจจุบันมีกระแสการบริโภคน้ำย่านางคั้นบีบเย็น กล่าวกันว่ารักษาโรคได้มากมาย เช่น ลดน้ำตาลในเลือด ความดันโลหิตสูง อาการตกเลือดในมดลูก โรคเกาต์ โรคเชื้อราทำลายเล็บ อาการริดสีดวงทวาร หรือเป็นผื่นคัน

 

กล่าวกันว่าโรคเหล่านี้เกิดจากภาวะไม่สมดุลแบบร้อนเกิน เชื่อกันว่ายังสามารถใช้น้ำย่านางมาสระผม ช่วยให้ศีรษะเย็น ผมดกดำหรือชะลอผมหงอก ผสมดินสอพองหรือปูนเคี้ยวหมากให้เหลวพอประมาณ ทาสิว ฝ้า ตุ่ม ผื่นคัน พอกฝีหนองลดอาการผื่นคันได้อีกด้วย

 

ย่านางเป็นยาเย็น ในปริมาณที่มีผู้ดื่มรักษาโรคเป็นปริมาณสารสกัดน้ำที่ไม่เข้มข้นมากนัก คล้ายการดื่มน้ำใบเตยเพื่อความชื่นใจดับกระหาย แต่ไม่มีรายงานการวิจัยทั้งในและต่างประเทศสนับสนุนการใช้งานดังกล่าว เพราะประเทศตะวันตกไม่มีต้นย่านางให้ศึกษา

 

การศึกษาพิษวิทยาในประเทศไทยพบว่า ระยะสั้นสารสกัดใบย่านางไม่มีพิษต่อหนูทดลอง คิดว่าดื่มเครื่องดื่มธรรมชาติไร้น้ำตาลเป็นทางเลือกใหม่ได้เลย ถ้าสุขภาพดีขึ้นหายจากโรคภัยไข้เจ็บด้วยก็เป็นของแถมที่มีค่ายิ่ง

 

สูตรน้ำใบย่านางที่นำเสนอนี้ได้ข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลด้วย :

น้ำใบย่านาง !32

 

1.ใบย่านางประมาณ 20 ใบ

 

2.น้ำต้มสุก (ไม่ร้อน) 3 แก้ว (600 มิลลิลิตร)

 

3.นำใบย่านางสดโขลกให้ละเอียดแล้วเติมน้ำ หรือขยี้ใบย่านางกับน้ำ กรองผ่านกระชอนเอาแต่น้ำสีเขียว ดื่มครั้งละ 1/2 ถึง 1 แก้ว วันละ 2-3 เวลาก่อนอาหารหรือตอนท้องว่าง เนื่องจากใบย่านางมีกลิ่นเหม็นเขียว

 

จึงอาจใส่ใบเตยหอม 3 ใบ ใบบัวบก 1 กำและ ดอกอัญชัญ 10 ดอกลงไปด้วยเพื่อแต่งรสและกลิ่น ถ้าแช่ในตู้เย็นควรดื่มภายใน 3-7 วัน

 

 

http://www.doctor.or.th/node/10740

ถูกแก้ไข โดย moddang..

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

กลิ่นปาก

 

:lol: :lol: :lol:

 

ทันตแพทย์หญิงฉัตรแก้ว บริบูรณ์หิรัญสาร

งานทันตกรรม

Faculty of Medicine Siriraj Hospital

คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

 

กลิ่นปาก ปัญหาสำคัญที่ทำลายความมั่นใจของใครหลายคน และส่งผลกระทบต่อผู้คนรอบข้าง กลิ่นเหม็นจากปากเกิดจากแบคทีเรีย เมื่อมีการย่อยสลาย เศษอาหารที่ตกค้างอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของช่องปากทำให้เกิดการเน่าเสียของเศษอาหาร ส่งผลให้เกิดกลิ่นเหม็นขึ้น แบคทีเรียที่เป็นต้นเหตุนี้จะมีอยู่ตามปกติในช่องปาก ดังนั้นในบริเวณใดที่มีเศษอาหารตกค้าง แบคทีเรียก็ทำให้เกิดการบูดเน่าและเกิดกลิ่นเหม็นขึ้นได้

บริเวณที่จะพบการหมักหมดของเศษอาหารบ่อย ๆ คือ ลิ้น ร่องเหงือก ใต้ขอบเหงือก ส่วนอื่นที่สามารถพบได้อีก คือ บริเวณที่อุดฟัน ครอบฟันไม่พอดี การเป็นโรคปริทันต์ เหงือกอักเสบ มีฟันผุรูกว้าง ฟันปลอมชนิดถอดได้ ทำให้เศษอาหารตกค้างในบริเวณดังกล่าว จึงเป็นต้นเหตุที่สำคัญที่ทำให้เกิดกลิ่นปาก โดยเฉพาะในผู้ที่ใส่ฟันปลอมในขณะนอน นอกจากนี้ปริมาณการหลั่งของน้ำลายมาก/น้อยก็ส่งผลต่อการเกิดกลิ่นปากได้

;) สาเหตุของกลิ่นปาก เกิดทั้งจากภายใน และภายนอกช่องปาก

 

1.จากภายในช่องปาก ได้แก่ :lol:

 

- มีแผลในช่องปาก เช่น ซิฟิลิส เนื้องอก แผลร้อนใน แผลที่เกิดขึ้นภายหลังการถอนฟัน หรือแผลที่เกิดจากการผ่าตัดในช่องปาก

- ฟันผุ ที่มีเศษอาหารตกค้างสะสมอยู่ในรูร่องฟัน ทะลุโพรงประสาทฟัน และมีหนองเกิดขึ้นที่ปลายรากฟัน

- เป็นโรคปริทันต์ หรือเหงือกอักเสบ ทำให้มีคราบจุลินทรีย์ และหินน้ำลายสะสมมาก

- ผู้ที่ใส่ฟันปลอม หรือเครื่องมือต่าง ๆ ในช่องปาก เช่น ใส่เครื่องมือจัดฟัน หรือใส่เครื่องมือกันฟันล้ม แต่รักษาความสะอาดไม่ดีพอ

- น้ำลาย โดย ปกติน้ำลายจะช่วยชะล้างสิ่งสกปรก ถ้าในช่องปากมีน้ำลายหลั่งออกมาช่องปากก็จะสะอาดมากกว่าน้ำลายที่หลั่งออกมา น้อย และน้ำลายจะช่วยลดการบูดเน่าของอาหารที่ทำให้เกิดกลิ่นได้

* ในบางขณะจะมีการหลั่งน้ำลายออกมาได้น้อย เช่น ขณะนอนหลับภาวการณ์อดอาหาร ดื่มน้ำไม่เพียงพอ อากาศร้อน ความเครียด การเจ็บป่วยด้วยโรค ตลอดจนอาชีพที่ใช้เสียงมาก ๆ มีผลให้มีน้ำลายน้อย และมีกลิ่นปากได้

- ลิ้น (บริเวณโคนลิ้นด้านในสุด)เนื่องจากบริเวณนี้มีน้ำเมือกในช่องจมูกไหลลงสู่คอ ซึ่งภาวะเช่นนี้ไม่จำเป็นว่าต้องเกิดจากการเจ็บป่วยด้วยโรค แต่มักจะมีสาเหตุมาจากอาการภูมิแพ้(อาการดังกล่าวจะไม่ทำให้เกิดกลิ่นปากใน ระยะแรก ๆ แต่เมื่อทิ้งไว้สัก 2-3 วัน แบคทีเรียในช่องปากจะย่อยน้ำเมือกทำให้เกิดกลิ่นได้)

 

2.กลิ่นปากที่มีสาเหตุจากภายในช่องปาก ได้แก่ :ph34r:

 

- การสูบบุหรี่ นอกจากจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้สูบและคนรอบข้างแล้ว ยังเป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้สูบเป็นโรคปริทันต์รุนแรงมากขึ้นด้วย และกลิ่นของบุหรี่ที่ตกค้างอยู่ในช่องปากผสมกับกลิ่นอื่น ๆ ทำให้เกิดกลิ่นเหม็นเฉพาะตัวขึ้นได้

- การรับประทานอาหาร เช่น หัวหอม หัวกระเทียม เครื่องเทศ สะตอ และแอลกอฮอล์ จะทำให้มีกลิ่นปากได้ แต่โดยธรรมชาติอาหารพวกนี้เมื่อถูกย่อยดูดซึม และขับถ่ายออกแล้วกลิ่นก็จะหายไปได้เอง

 

:mad: แต่สำหรับในบางกรณีระบบต่าง ๆ ของร่างกายที่เกิดขึ้น สามารถทำให้เกิดกลิ่นปากได้ เช่น

 

- โรคในระบบาทางเดินหายใจส่วนบน เช่น ไซนัสอักเสบ โรคทอนซิลอักเสบ โรคมะเร็งที่โพรงกระดูก

- โรคในระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง เช่น โรคเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร โรคปอดเรื้อรัง วัณโรคปอดหรือมะเร็งปอด โรคของระบบขับถ่าย

 

 

ทดสอบง่าย ๆ คุณมีกลิ่นปากหรือไม่ เพียง.. :blush:

.

เอามือปิดปากและจมูก เป่าลมแรง ๆ ออกจากปากและดม ซึ่งบางคนก็สามารถบอกได้ว่ามีกลิ่นปากหรือไม่ หรือใช้วิธีของร้องให้คนใกล้ชิดช่วยบอกก็ได้

เมื่อรู้ว่าเรามีกลิ่นปาก ต้องหาสเหตุให้ได้ก่อนว่าเกิดจากอะไร เพื่อนำไปสู่การแก้ไขได้ถูกต้อง ควรไปพบทันตแพทย์เพื่อรับการตรวจสุขภาพช่องปาก เพื่อนำไปสู่การรักษาอย่างถูกต้อง นอกกจากนี้สามารถดูแลรักษาไม่ให้เกิดกลิ่นในช่องปากได้ง่าย ๆ ด้วยการดูแลอนามัยของช่องปากให้สะอาดอยู่เสมอ ที่สำคัญต้องดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อป้องกันอาการปากแห้ง

การแก้ปัญหามีกลิ่นปาก ด้วยการใช้น้ำยาบ้วนปาก สเปรย์หรือลูกอมรสมินท์ เป็นการแก้ไขที่ไม่ถูกต้อง เพราะโดยทั่วไปน้ำยาบ้วนปากจะมีส่วนผสมหลัก คือ สารแต่งรส แอลกอฮอล์ และสารต่อต้านเชื้อจุลินทรีย์น้ำยาบ้วนปากจะช่วยลดกลิ่นปากได้ชั่วคราวเท่า นั้น เพราะไม่ได้กำจัดสาเหตุที่แท้จริงออกไป ทำให้อาการของโรคถูกปิดบัง จนอาจเกิดอาการรุนแรงได้โดยไม่รู้ตัว

 

เพราะฉะนั้นวิธี ที่ดีที่สุดของการรักษากลิ่นปาก คือ การค้นหาและกำจัดโรคที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ต้องไม่ละเลยต่อการแปรงฟันอย่างสม่ำเสมอ และถูกวิธีเพื่อสุขภาพแข็งแรงและสะอาดนั่นเองค่ะ !54 !031

 

 

http://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/articledetail.asp?id=831

ถูกแก้ไข โดย moddang..

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ต่อให้ตลาดอยู่ใกล้บ้าน แค่ร้อยเมตร แต่ทุกบ้านก็ต้องเก็บผักผลไม้สดไว้กินนานกว่า

 

หนึ่งวัน

 

วันนี้ก็เลยมีวิธีถนอมผักผลไม้ให้สดได้นานมาฝากคะ่

 

1_display.jpg

 

 

แตงโม ควรแช่ตู้เย็นก่อนรับประทาน ไม่เกินหนึ่งสัปดาห์ เพราะความเย็นจะช่วยเพิ่มไลโคปีนและเบต้าแคโรทีนขึ้นอีกเกือบเท่าตัว

*แต่ไม่ควรแช่ไว้ใกล้ผลไม้อื่น เพราะแตงโมจะเสียเร็วเนืองจากเอทิลีนซึ่งปล่อยมาจากผลไม้อื่น

 

องุ่น ควรแช่ในถุงพลาสติกที่พ่อค้าแม่ค้าให้มานั้นแหละ โดยเด็ดผลที่เสียออก จากนั้นใส่ถุงกระดาษหรือหอกระดาษอีกชั้นหนึ่ง

*แต่ไม่ควรล้างจนกว่าจะถึงเวลารับประทาน

 

สมุนไพรสด ควรใส่ถุงกระดาษหรือหอกระดาษก่อนใส่ถุงพลาสติก แช่ไว้ในลิ้นชักชั้นล่างของตู้เย็น

*แต่ไม่ควรแช่กระเพรา เพราะความเย็นทำลายสมุนไพรชนิดนี้ ถ้าซื้อแบบที่ยังเป็นต้นอยู่ ให้แช่โคนลำต้นไว้ในน้ำ

 

มะเขือเทศ ใส่ตะกร้าวางไว้ในอุณภูมิห้อง

*แต่ไม่ควรนำมะเขือเทศไปแช่ตู้เย็น เพราะความเย็นทำลาย สี รสชาติ และคุณค่าสารอาหารและอย่าวางมะเขือเทศสุกไว้ใกล้ผักชนิดอื่น เพราะมันจะปล่อยเอทิลีนออกไปทำลายความสด

 

เบอร์รี่ เด็ดผลที่เสียทิ้งไป แล้วใส่กล่องพลาสติกแช่เย็น

*แต่ไม่ควรล้างจนกว่าจะได้รับประทาน เพราะถ้าเราล้างมันจะทำให้ผลของเบอร์รี่จะเสียเวลาเรานำไปแช่เย็น

 

ผักใบเขียว ทิ้งไว้ให้มั่นใจว่าแห้งพอดี ก่อนใส่ถุงกระดาษหรือหอกระดาษจากนั้นใส่ถุงพลาสติกอีกชั้นหนึ่งก่อนแช่เย็น

*แต่ไม่ควรวางไว้ใกล้ผักหรือผลไม้ที่มักปล่อยเอทิลีนอย่างมะเขือ....

 

ขอบคุณ ข้อมูลจาก เกร็ดสุขภาพ นิตยสารชีวจิต

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

กินข้าวโพดหวานต้ม ได้ประโยชน์มากกว่าที่คุณคิด

 

โดย...คุณวัชรีย์ รัตนกาญจน์

อ.เมือง จ.สงขลา

(เนื้อหาและภาพประกอบเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียน)

 

หลายคนคงเคยได้รับรู้มาบ้างแล้วว่า การกินข้าวโพดหวานมีประโยชน์หลายประการ อาทิเช่น บำรุงกระเพาะอาหาร บำรุง

หัวใจและปอด ช่วยเจริญอาหาร และขับปัสสาวะ เป็นต้น สำหรับประโยชน์ของข้าวโพดหวานที่มากกว่านั้น เพื่อให้ทุกคนหันมา

รับประทานข้าวโพดหวาน เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกายมากยิ่งขึ้น

 

การกินข้าวโพดหวานต้ม สามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจ และมะเร็งได้ การต้มทำให้ข้าวโพดหวาน

ปล่อยสารต้านอนุมูลอิสระ หรือที่บางคนเรียกกันว่า แอนตี้ออกซิแดนท์มาหลายตัว และที่สำคัญตัวหนึ่งที่มีชื่อว่า “กรดเฟอรูลิก”

(Ferulic acid ) ซึ่งเป็นสาระสำคัญที่เป็นตัวช่วยทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายมีประสิทธิภาพ กรดเฟอรูลิกเป็นสารต้านอนุมูล

อิสระจึงถูกใช้สำหรับต่อต้านการแก่ (aging) ของเซลล์ป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็ง โรคหัวใจ ไข้หวัด รักษาสุขภาพของกล้ามเนื้อ

ต่อต้านผลกระทบจากรังสีอุลตร้าไวโอเลต (จึงป้องกันมะเร็งผิวหนังได้)

2.2-5-52(500).jpg

 

ตามปกติร่างกายของคนเราต้องมีการเกิดสารอนุมูลอิสระขึ้นในร่างกาย ซึ่งร่างกายก็ต้องมีกลไกในการควบคุม จึงมีสารต้าน

อนุมูลอิสระมาขจัดอนุมูลอิสระในร่างกาย เพื่อไม่ให้ไปทำลายเซลล์ หรือเนื้อเยื่อต่าง ๆ ของร่างกายอันจะเป็นบ่อเกิดแห่งโรคที่ได้

กล่าวไว้ข้างต้น แต่ต้องอยู่ในสภาพที่ร่างกายได้รับอาหาร ที่มีประโยชน์ถูกต้องสมบูรณ์ สิ่งแวดล้อมที่ไม่มีพิษภัย และอากาศดี แต่ใน

ความเป็นจริงที่เราต้องเผชิญในชีวิตจริงนั้น สภาพดังกล่าวแทบจะไม่เหลืออยู่แล้วกลับมีสิ่งที่ส่งเสริมการเกิดอนุมูลอิสระซึ่ง

นักวิทยาศาสตร์พบว่า ผลิตภัณฑ์ที่เราใช้กันอยู่เกือบทุกชนิดเป็นแหล่งส่งเสริมการเกิดอนุมูลอิสระ ไม่ว่าจะเป็นไอเสียรถยนต์

ควันบุหรี่ สารพิษฆ่าแมลงแม้กระทั่งสเปรย์ระงับกลิ่นกาย หรือยารักษาโรคที่เรากินตามแพทย์สั่งก็เป็นสารส่งเสริมการเกิด

อนุมูลอิสระทั้งสิ้น ร่างกายเราจึงต้องการต้านอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น

 

 

ในข้าวโพดหวานตามธรรมชาติจะมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ โดยมีตัวสำคัญ คือ กรดเฟอรูลิก ซึ่งในข้าวโพดหวานดิบ จะแฝง

ตัวอยู่ในผนังเซลล์ ของเมล็ด เมื่อข้าวโพดหวานถูกต้มนานๆสารต้านอนุมูลอิสระ และกรดเฟอรูลิก จะถูกปล่อยออกมาในรูปที่เป็น

อิสระ ดังนั้น เมื่อยิ่งต้มข้าวโพดหวานนานก็จะมีปริมาณของสารต้านอนุมูลอิสระถูกปล่อยออกมามากขึ้น การต้มข้าวโพดหวาน

ที่ 115 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 10 นาทีปริมาณของสารต้านอนุมูลอิสระ จะเพิ่มขึ้นจากข้าวโพดหวานดิบ 21 % ถ้าต้มนาน

25 นาที จะได้สารต้านอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น 44 % และถ้าต้มนาน 50 นาที จะได้เพิ่มถึง 53 % เมื่อวัดปริมาณเฉพาะกรดเฟอรูลิก

ที่ถูกปล่อยออกมาพบว่า กรดนี้มีปริมาณเพิ่มขึ้นถึง 240 % เมื่อต้มนาน 10 นาที เพิ่มขึ้น 550 % เมื่อต้มนาน 25 % และเพิ่มขึ้น

ถึง 900 % เมื่อต้มนาน 50 นาที การต้มข้าวโพดหวานนาน ๆ อาจจะทำให้วิตามินบางตัว เช่น วิตามินซีสูญเสียไปบ้าง แต่ข้าวโพด

หวานก็ไม่ใช่แหล่งวิตามินซีที่สำคัญอยู่แล้ว ที่มา : จากวารสารเกษตรภาคใต้(ฉบับชาวบ้าน) ปีที่ 1 ฉบับที่4 กรกฎาคม-สิงหาคม 2551

 

ในเรื่องของ ข้าวโพดหวานต้านโรคมะเร็ง นักวิจัยของมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์แห่งสหรัฐฯ รายงานในวารสารสมาคมเคมี

แห่งอเมริกา ข้าวโพดหวานที่ปรุงสุกแล้ว จะออกฤทธิ์ล้างพิษในร่างกายสูงขึ้นได้อย่างเด่นชัด เขาเผยว่าผิดกับที่เคยเชื่อกันมาก่อน

ว่าผักและผลไม้หากต้มปรุงสุกแล้วจะเสียคุณค่าทางอาหารลงไปสู้กิน ดิบ ๆ ไม่ได้ แต่ข้าวโพดหวานยังคงสามารถเก็บพลังเป็นตัว

ล้างพิษคงไว้ได้ แม้ว่าจะสูญเสียวิตามินซีไปเขาได้พบในการต้มข้าวโพดหวานด้วยอุณหภูมิสูง 115 องศาเซลเซียส ในเวลานาน

ต่างกัน 10, 25 และ 50 นาที พบว่ายิ่งต้มนานจะทำให้มันมีสารอัน เป็นตัวล้างพิษเพิ่มขึ้นเป็น 22, 44 และ 53 เปอร์เซ็นต์ ขึ้นตาม

ลำดับนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสารที่ออกฤทธิ์เป็นตัวล้างพิษช่วยดับพิษของพวกอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นอันตรายกับเซลล์ของอวัยวะต่าง ๆ

ทั้งยังมีส่วนเกี่ยวพันกับโรคอันเนื่องมาจากความแก่ชรา ต่างๆ อย่างเช่นต้อกระจกและโรคสมองเสื่อมอีกด้วย คณะนักวิจัยแจ้งว่า

ข้าวโพดหวานที่ต้มหรือปิ้งจะปล่อยสารประกอบที่เรียกว่า กรดเฟอรูลิก อันเป็นคุณกับร่างกายยิ่งมากขึ้นเมื่อถูกความร้อนสูงขึ้นหรือ

เวลานานขึ้น กรดเฟอรูลิกเป็นพวกพฤกษเคมีซึ่งในผักและผลไม้ มีอยู่ไม่มากนักแต่กลับพบมีอยู่อย่างอุดมในข้าวโพดผสมปนเป

รวมอยู่กับอย่างอื่นการทำให้มันสุกจึงช่วยทำ ให้มันปล่อยกรดเฟอรูลิกออกมาได้มากขึ้น

 

 

ดังนั้น จึงอยากให้ทุกคนหันมารับประทานข้าวโพดหวานต้มกันมาก ๆ ซึ่งนอกจากจะดีต่อสุขภาพร่างกายแล้ว ยังช่วยให้

เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดหวานมีรายได้จากการผลิตข้าวโพดหวานสู่ท้องตลาดอีกด้วย ยิ่งหากว่าทางโรงเรียนต่าง ๆ ส่งเสริมให้

นักเรียนกินข้าวโพดหวานต้มสัปดาห์ละ 1 ฝักแล้ว ก็ยิ่งจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจบ้านเราให้มีความตื่นตัวมากขึ้น ก็จะส่งผลไปยัง

ธุรกิจการค้าการตลาด และรายได้ในด้านอื่น ๆ ให้ดีตามไปด้วย

 

สารต้านอนุมูลอิสระ

 

อนุมูลอิสระเป็นโมเลกุลที่เกิดขึ้นจากกระบวนการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย เนื่องจากเป็นอนุภาคไม่คงตัว จึงทำปฏิกิริยา

กับโมเลกุลที่อยู่ติดกันได้อย่างรวดเร็ว เกิดปฏิกิริยาที่เรียกว่าออกซิเดชัน (oxidation) ซึ่งอาจก่อผลกระทบที่อันตรายต่อร่างกายได้

 

 

ตัวการก่อโรคร้าย

 

เมื่ออนุมูลอิสระทำปฏิกิริยากับรหัสพันธุกรรมดีเอ็นเอในนิวเคลียสของเซลล์ อาจทำให้เซลล์ กลายพันธุ์และกลายเป็นเซลล์

มะเร็ง ถ้าเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันกับคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด จะกระตุ้นให้เกิดไขมันสะสมในหลอดเลือด นำไปสู่โรคหัวใจ

และหลอดเลือดในสมองแตก/ตีบ นอกจากนี้ อนุมูลอิสระยังมีส่วนทำให้เกิดต้อกระจก ภูมิต้านทานต่ำ โรคข้ออักเสบ และแก่ก่อนวัย

 

บทบาทของสารต้านอนุมูลอิสระ

สารต้านอนุมูลอิสระทำลายฤทธิ์ของอนุมูลอิสระโดยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันในส่วนต่างๆ ของร่างกาย นอกจาก

สารต้านอนุมูลอิสระที่ร่างกายสร้างเองแล้ว ในวิตามิน แร่ธาตุ และพฤกษเคมีก็มีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ด้วย และช่วยต้านอนุมูลอิสระ

ได้ดี ที่มา : http://antioxidants.spaces.live.com/blog/cns!27309FD5F0BC7A90!140.entry

 

http://www.stou.ac.th/study/sumrit/5-52(500)/page2-5-52(500).html

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

จากคนขี้สงสัยเจ้าเดิมครับ...

1. ข้าวโพดหวานที่ว่านี่คือพันธุ์ซุปเปอร์สวีทหรือเปล่าครับ (ในรูปเป็นข้าวโพดข้าวเหนียวละมั้ง)หรือข้าวโพดหวานหมายถึงข้าวโพดอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ข้าวโพดที่ใช้ในการเลี้ยงสัตว์(เพราะมันแข็งและไม่ค่อยหวานอร่อย)cool.gif

2. กรดที่ว่านั้นมันจะถูกปลดปล่อยออกมาเฉพาะจากการต้มนานๆเพียงอย่างเดียวหรืออย่างไร ใช้วิธีตำหรือปั่นฯลฯได้หรือไม่ (จริงๆคงต้องค้นก่อนว่ากรดนั่นมันอยู่ส่วนใหนของข้าวโพด ถึงจะหาวิธีถูก)

ถาม 2 ข้อคร้าบ ยอดหญิงนักค้นwub.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

จากคนขี้สงสัยเจ้าเดิมครับ...

1. ข้าวโพดหวานที่ว่านี่คือพันธุ์ซุปเปอร์สวีทหรือเปล่าครับ (ในรูปเป็นข้าวโพดข้าวเหนียวละมั้ง)หรือข้าวโพดหวานหมายถึงข้าวโพดอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ข้าวโพดที่ใช้ในการเลี้ยงสัตว์(เพราะมันแข็งและไม่ค่อยหวานอร่อย)cool.gif

2. กรดที่ว่านั้นมันจะถูกปลดปล่อยออกมาเฉพาะจากการต้มนานๆเพียงอย่างเดียวหรืออย่างไร ใช้วิธีตำหรือปั่นฯลฯได้หรือไม่ (จริงๆคงต้องค้นก่อนว่ากรดนั่นมันอยู่ส่วนใหนของข้าวโพด ถึงจะหาวิธีถูก)

ถาม 2 ข้อคร้าบ ยอดหญิงนักค้นwub.gif

 

ยังหาคำตอบไม่ได้ค่ะ แต่มีข้อมูลเพิ่มค่ะ

 

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ผู้เขียนได้รับอีเมลฉบับหนึ่ง จั่วหัวว่า “ข้าวโพดต้มสุก” พร้อมมีเนื้อหาที่น่าสนใจทำนองว่า คุณแม่ของผู้ที่ส่งอีเมลฉบับนี้กำลังรักษามะเร็งช่วงใกล้ ๆ หาย เริ่มจะทานอาหารได้ เค้าจะกินข้าวโพดต้มทุกวัน ทำให้ฟื้นตัวเร็วมาก ซึ่งข้าวโพดสุก ต้านมะเร็ง การแทะข้าวโพดหวานต้านโรคมะเร็งมีสารตัวล้างพิษมากกว่าผักผลไม้ นอกจากนี้ในเนื้อหายังอ้างอิงผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์แห่งสหรัฐ โดยระบุว่า ข้าวโพดหวานที่ปรุงสุกแล้วจะออกฤทธิ์ล้างพิษในร่างกายสูงขึ้นได้อย่างเด่น ชัด คณะนักวิจัยแจ้งว่าข้าวโพดหวานที่ต้มหรือปิ้งจะปล่อยสารประกอบที่เรียกว่า กรดเฟอรูริก อันเป็นคุณกับร่างกายมาก”

 

เพื่อไขข้อกระจ่างในเรื่องนี้ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ บอกว่า งานวิจัยดังกล่าวเป็นของมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ ตีพิมพ์ใน วารสารการเกษตรและโภชนเคมี โดยสมาคมเคมีอเมริกัน โดยพบว่า ในการต้มข้าวโพดหวานด้วยอุณหภูมิสูง 115 องศาเซลเซียส ในเวลานานต่างกัน 10 นาที 25 นาที และ 50 นาที พบว่ายิ่งต้มนานจะทำให้มันมีสารต้านอนุมูลอิสระ หรือ ต้านมะเร็ง จาก 22 เปอร์เซ็นต์ 44 เปอร์เซ็นต์ และ 53 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ

 

สารต้านอนุมูลอิสระในข้าวโพด คือ กรดเฟอรูริก กรดชนิดนี้จะอยู่ตามผนังเซลล์ของข้าวโพด ถ้าเป็นข้าวโพดดิบ กรดเฟอรูริกตัวต้านมะเร็ง จะไม่ค่อยออกมา แต่พอเอาไปต้มหรือย่าง กรดเฟอรูริก จะออกมามากขึ้น เพราะผนังเซลล์ถูกความร้อนสลายไป จะช่วยปลดปล่อยกรดเฟอรูริกต้านมะเร็งออกมาได้เยอะขึ้น การต้มนาน ๆ ข้อดี คือ ปลด ปล่อยสารต้านมะเร็งออกมามาก ทำให้แป้งที่ไม่ย่อย กลาย เป็นแป้งที่ย่อยได้ดีขึ้น แต่ถ้าต้มนานจนเกินไปอาจทำให้ข้าวโพดเหลือแต่ไฟเบอร์

 

:unsure: :huh: นอกจากนี้ข้าวโพดยังมีสารเหลืองที่เป็นของดี คือ สารต้านอนุมูลอิสระกลุ่ม ลูทีน และ ซีแซนทีน จะช่วยชะลอปัญหาจอประสาทตาเสื่อม หรือตาบอดจากจอตาเสื่อม

 

กรดเฟอรูริกเป็นของดี นอกจากข้าวโพดแล้ว ยังมีในธัญพืชอื่นเช่น ข้าว ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต เมล็ดกาแฟ ถั่วลิสง แอปเปิล ส้ม อาติโช้คและสับปะรดด้วย :rolleyes: ^_^

 

 

นพ.กฤษดา อธิบายว่า ข้าวโพดที่เรานำมารับประทานนั้น ใน ข้าวโพดอ่อน จะมีแป้ง กาก และสารต้านอนุมูลอิสระ สำหรับ ข้าวโพดดิบ ๆ ไม่ควรรับประทาน เพราะจะมีแป้งที่ไม่ย่อย ถ้ารับประทานเข้าไปจะทำให้ท้องอืด แป้งดังกล่าวจะไปหมักต่อในท้อง ข้าวโพดต้มหรือย่าง จะต่างกับข้าวโพดดิบ แป้งที่ไม่ย่อยจะถูกย่อยง่ายขึ้น โดยเฉพาะข้าวโพดหวานบ้านเราดีที่สุด นอกจากนี้ข้าวโพดที่กำลังงอก เหมือนมีต้นอ่อนอยู่ในเมล็ดข้าวโพด จะมีสารกาบ้าเหมือนข้าวกล้องงอก มีประโยชน์ต่อสมอง

 

 

สีของข้าวโพดที่แตกต่างกันตามสายพันธุ์ก็มีส่วนสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น สีเหลือง สีเหลืองอ่อน สีม่วงดำ ก็ตามแต่ใครจะชอบ แต่ที่อยากแนะนำ คือ ให้รับประทานข้าวโพดสีค่อนข้างเข้ม เช่น เหลืองเข้มจะมีสารต้านอนุมูลอิสระ กลุ่ม “ลูทีน” และ “ซีแซนทีน” เยอะ ส่วนสีดำ หรือสีม่วงเข้ม เพราะจะมีสารโอพีซี เหมือนสารสกัดในเมล็ดอุง่น

 

ใครควรรับประทานข้าวโพดบ้าง ? นพ.กฤษดา กล่าวว่า วัยเด็ก เพราะจะช่วยสร้างเซลล์ประสาทที่จอ ตา รวมถึงคนที่ใช้สายตาเยอะ นั่งหน้าคอมพิวเตอร์นาน ๆ หรือโดนแดด ควัน และฝุ่นเยอะ จอประสาทตาอาจจะเสื่อมง่าย นอกจากนี้ในคนเป็นมะเร็ง หรือเป็นโรคอัลไซเมอร์ ก็ควรรับประทาน เพราะจะมีสารต้านอนุมูลอิสระเยอะ

 

ส่วนคนที่ไม่ควรรับประทานข้าวโพด คือ ผู้สูงอายุที่มีปัญหาท้องอืดบ่อย หรือว่าลำไส้ย่อยยาก รวมทั้งคนที่เพิ่งผ่าตัดช่องท้องมาใหม่ ๆ เพราะจะทำให้ท้องอืดได้ง่าย

 

ถ้าเป็นข้าวโพดคั่วควรรับประทานหรือไม่ ? นพ.กฤษดา กล่าวว่า อันนี้ก็ดี เพราะข้าวโพดคั่วจะมีสารต้านอนุมูลอิสระกลุ่มฟีโนลิก คือ ในข้าวโพดคั่วจะเสียตัวธาตุเหลืองไปหมด แต่จะมีสาร กลุ่มฟีโนลิกมาแทนที่ แต่คนไทยอาจจะไม่ชอบ เพราะฝืดคอ

 

 

ส่วนที่หลายคนสงสัยว่า ควรจะรับประทานข้าวโพดถี่แค่ไหนนั้น นพ.กฤษดา บอกว่า ก็ให้สลับกันไป เช่นวันนี้รับประทานข้าวโพดอ่อน วันต่อมาอาจจะรับประทานข้าวโพดหวานต้มหรือย่าง ทั้งนี้การรับประทานมากหรือถี่จนเกินไป อาจจะทำให้ได้แป้ง และน้ำตาลในปริมาณมาก ทำให้อ้วนได้เช่นกัน

 

 

ทำไมบางคนกินข้าวโพดที่ต้มสุกแล้วแต่ยังมีปัญหาท้องอืด ? นพ.กฤษดา กล่าวว่า เนื่องจากลำไส้บางคนจะไวต่อแป้งบางตัวในข้าวโพด ก็เลยทำให้เกิดอาการท้องอืด ดังนั้นวิธีแก้ คือ ก่อนนำไปต้มควรแช่น้ำค้างคืนไว้ หรือถ้าไม่มีเวลาก็ต้มให้นานที่สุด.

 

 

http://medinfo2.psu.ac.th/cancer/db/news_showpic.php?newsID=627&tyep_ID=2

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สารต้านอนุมูลอิสระในข้าวโพด คือ กรดเฟอรูริก กรดชนิดนี้จะอยู่ตามผนังเซลล์ของข้าวโพด ถ้าเป็นข้าวโพดดิบ กรดเฟอรูริกตัวต้านมะเร็ง จะไม่ค่อยออกมา แต่พอเอาไปต้มหรือย่าง กรดเฟอรูริก จะออกมามากขึ้น เพราะผนังเซลล์ถูกความร้อนสลายไป จะช่วยปลดปล่อยกรดเฟอรูริกต้านมะเร็งออกมาได้เยอะขึ้น การต้มนาน ๆ ข้อดี คือ ปลด ปล่อยสารต้านมะเร็งออกมามาก ทำให้แป้งที่ไม่ย่อย กลาย เป็นแป้งที่ย่อยได้ดีขึ้น แต่ถ้าต้มนานจนเกินไปอาจทำให้ข้าวโพดเหลือแต่ไฟเบอร์

คงคล้ายกับแครอทครับที่กินสุกได้ประโยชน์มากกว่ากินดิบ(มีพืชผักไม่กี่ชนิดที่กินสุกดีกว่ากินดิบ)

 

ผมมีข้อสงสัยต่อครับว่าถ้ากรดเฟอฟูริคมีอยู่ใน cell wall ของข้าวโพด ถ้าย่างก็โอเค เพราะกรดออกมาก็ยังติดอยู่ที่ข้าวโพด

แต่ต้มนี่สิ พอกรดออกมาแล้วกรดจะอยู่ในน้ำต้มหรือเปล่า ถ้าเป็นแบบที่ผมสงสัยคงต้องกินน้ำข้าวโพดต้มแล้วละครับ 332f960b.gif

 

 

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

บี้ได้ครับถ้าไม่กลัวสกปรกเลอะเทอะจากเลือด และยังอาจมีเชื้อโรคบางชนิดด้วย บี้เสร็จก็ล้างมือและพื้นด้วยครับ

ยากกว่าโยนทิ้งลงในขวดน้ำมีฝาปิดเยอะครับ

การบี้ไม่ได้ทำให้เห็บแพร่พันธุ์นะครับ ส่วนใหญ่เล่าต่อกันมาแบบนั้น

 

เมื่อก่อนเลี้ยงหมา ก็ต้องคอยจับเห็บใส่กระป๋องน้ำมันก๊าดทุกวัน บาปกรรมจริง จริง ตอนนี้ก็เลยเลี้ยงแต่จิ้งจก แมลงสาบ

:ph34r:

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เมื่อก่อนเลี้ยงหมา ก็ต้องคอยจับเห็บใส่กระป๋องน้ำมันก๊าดทุกวัน บาปกรรมจริง จริง ตอนนี้ก็เลยเลี้ยงแต่จิ้งจก แมลงสาบ

:ph34r:

55 ขอแสดงความยินดีด้วยครับที่

1 ไม่ต้องมีใครมาทวงหนี้(เป็นขี้ข้ามันชัดๆ เวลาเลี้ยงมัน)

2 ไม่ต้องผิดศีลปาณาฯ ถึงแม้ว่าจะทำด้วยเจตนาจะช่วยหมาก็ตาม แต่เวลาบี้เห็บหรือหย่อนลงขวดเราก็อดเผลอที่จะมันในอารมณ์ไม่ได้ อิอิlaugh.gif

 

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณ คุณ morlek และคุณ ngoodin มากนะ ที่มาช่วยดึงกระทู้ให้มดแดง

 

วันนี้เอาเรื่อง นาฬิกาชีวิตมาฝาก ไหนๆก็หาไปแปะบ้านอาจารย์ซีซ่าแล้ว ก็เลยถือโอกาสนำมาไว้ที่นี่บ้าง คิดว่าหลายคนคงได้อ่านกันบ้างแล้ว โดยเฉพาะคนที่สนใจ ใส่ใจในเรื่องของสุขภาพ อ้อ เดี๋ยวต้องเอาไปฝากอาจารย์กัมพลด้วยยซะหน่อย.... ไหนๆ ตอนนี้เว็บเราก็ตื่นตัวเรื่องสุขภาพกันบ้างแล้ว อิอิ....

 

http://www.si.mahidol.ac.th/Th/division/shdp/admin/knowledges_files/5_27_1.pdf

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เมื่อวานไปพบปะสังสันทน์ เพื่อนๆ ... ได้รับหนังสือเล่มนึง " มณีเวช เพื่อชีวิตง่ายๆสบายๆ"..." simple way to make life easier "

อ่านแล้วดีจัง อยากได้ แต่จำไม่ได้ว่าเพื่อนคนไหนแจก กลับมามาค้นและเจอ เลยนำมาฝากกัน เป็นเหมือนการแนะนำกายบริหาร หรือ เป็นการปฏิบัติตัวให้ถูกต้อง เพื่อจะได้ไม่เจ็บหรือมีปัญหาตามมาทีหลัง.............

 

มณีเวช เพื่อชีวิตง่าย ๆ และสบาย ๆ

 

ได้รับต่อมาจากเพื่อนเกี่ยวกับ การปรับสมดุลย์ร่างกาย

มณีเวช เพื่อชีวิตง่าย ๆ และสบาย ๆ ของ อาจารย์ประสิทธิ์ มณีจิระประการ

โดย นายแพทย์นพดล นิงสานนท์ เรียบเรียงและเผยแพร่

คิดว่าน่าจะเผยแพร่ให้แพร่หลายขึ้น จึงขอ upload เผยแพร่ครับ

 

1283504024.jpg

 

1283504046.jpg

 

1283504107.jpg

 

1283504139.jpg

 

1283504170.jpg

 

1283504212.jpg

 

1283504247.jpg

 

1283504280.jpg

 

1283504305.jpg

 

1283504331.jpg

 

1283504368.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...