ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
moddang

สาระน่ารู้....สุขภาพ.....

โพสต์แนะนำ

1283504401.jpg

 

1283504430.jpg

 

1283504504.jpg

 

1283504535.jpg

 

1283504565.jpg

 

 

ขอขอบคุณ..ข้อมูลจาก

 

http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=ravio&month=09-2010&date=03&group=1&gblog=159

ถูกแก้ไข โดย moddang..

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เอามาฝากพี่มดแดง

 

สมุนไพรบำบัดโรคกระเพาะอาหาร

 

ขนานที่ ๑

ขมิ้นชัน ( ขมิ้นแกง ขมิ้นหยวก ขมิ้นหัว ขี้มิ้น หมิ้น ตายอ สะยอ ) มีฤทธ์ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะ มีฤทธ์ลดการอักเสบ ขับน้ำดี มีฤทธิ์คลาย กล้ามเนื้อเรียบได้ มีสารเคอร์คิวมิน ขนาด ๔๐ มิลลิกรัม/กิโลกรัม ทำให้เกิดการ กระตุ้นการหลั่ง Mucin ออกมาเคลือบกระเพาะ

 

วิธีใช้

นำเหง้าแก่สดล้างให้สะอาด ไม่ต้องปอกเปลือก หั่นเป็นชิ้นบาง ๆ ตากแดดจัดสัก

๑ – ๒ วัน บดให้ละเอียดผสมกับน้ำผึ้ง ปั้นเป็นลูกกลอน หรือบรรจุแคปซูล รับประทานครั้งละ ๕๐๐ มิลลิกรัม วันละ ๔ ครั้ง หลังอาหาร และก่อนนอน ถ้ามีอาการแพ้ เช่น คลื่นไส้ ทองเสีย ปวดหัว นอนไม่หลับ ให้หยุดยาเปลี่ยนไปใช้ยาตัวอื่นแทน

 

 

ขนานที่ ๒

กล้วยดิบ ช่วยกระตุ้นให้เซลล์ในเยื่อบุกระเพาะหลั่งสารพวก Mucin ออกมาเคลือบกระเพาะ รักษาแผลที่เกิดในกระเพาะ

 

วิธีใช้

นำ กล้วยน้ำว้าดิบฝานเป็นแว่นตากแดดประมาณ ๒ วัน หรืออบให้แห้ง ด้วยอุณหภูมิ ๕๐ องศาเซ็นเซียส แล้วบดเป็นผง เวลาจะ รับประทานก็ ตักผงกล้วยสัก ๒ - ๓ ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำผึ้ง เติมน้ำ คนให้ทั่วแล้วดื่ม หรือ ทำเป็นลูกกลอนขนาดเม็ดพุทรา รับประทานครั้งละ ๔ เม็ด วันละ ๔ ครั้ง ก่อนอาหาร และก่อนนอน อาจจะมีอาการท้องอืดเฟ้อ ก็ให้ใช้ร่วมกับยาขับ ลม เช่น ขิง พริกไทย กานพลู

 

ขนานที่ ๓

หัวกระเทียมแห้ง ๑๐๐ กรัม

พริกไทย ๑๐๐ กรัม

หัวแห้วหมู ๑๐๐ กรัม

วิธีใช้

เอา มาบดเป็นผงละเอียด ผสมน้ำผึ้งแท้ ปั้นเป็นลูกกลอนเล็กๆ กินก่อนนอนทุกคืน จนกว่าจะหาย หากเป็นผง ให้ชงกับน้ำอุ่น ดื่มก่อนนอนเช่นเดียวกัน

 

 

 

โดย www.the-arokaya.com

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

มะเขือพวง จิ๋วแต่แจ๋ว

 

 

มะเขือพวงเป็นไม้ข้ามปี ต่างจากมะเขืออื่นๆ ที่เป็นไม้ล้มลุก ลำต้นสูง ๑-๓ เมตรเป็นต้นเดี่ยวจากดินแตกพุ่มด้านบน เป็นไม้พุ่มมีหนาม

 

ใบรูปไข่กว้าง ขอบใบเรียบหรืออาจเว้าเป็นรอยหยัก เรียงตัวแบบตรงข้าม ใบมีขนปกคลุม

 

ดอกเป็น ดอกช่อ ดอกทรงแตรมีกลีบปลายแหลม ๕ กลีบสีขาวหรือม่วง เกสรสีเหลือง ผลเป็นผลแบบเบอร์รี่ อยู่เป็นช่อ ดอกหนึ่งๆ จะติดผลตั้งแต่ ๒-๓ ผลจนถึง ๑๐ ผล

 

ผลมีเส้นผ่าศูนย์กลางราว ๑ เซนติเมตร ผลอ่อนมีเปลือกสีเขียวหนาและเหนียว ลักษณะผลคล้ายเมล็ดถั่วลันเตา เมื่อสุกมีสีเหลืองหรือสีส้มแดง เนื้อผลบาง ภายในเต็มไปด้วยเมล็ดกลม แบนสีน้ำตาลอัดแน่นผลละ ๓๐๐-๔๐๐ เมล็ด ผลมีรสขมกินได้

ปัจจุบันในประเทศไทยมีมะเขือพวงพันธุ์ไร้หนามแล้ว

 

มะเขือ พวงมีถิ่นกำเนิดใน Antilles ตั้งแต่เขตฟลอริดา หมู่เกาะเวสต์ อินดีส์ เม็กซิโก จนถึงอเมริกากลาง และทวีปอเมริกาใต้แถบประเทศบราซิล เป็นวัชพืชขึ้นกระจัดกระจายเกือบทั่วเขตร้อน ปัจจุบันพบในทวีปแอฟริกา เอเชีย ออสเตรเลีย และหมู่เกาะแปซิฟิกไกลถึงมลรัฐฮาวายในสหรัฐอเมริกา แต่เป็นพืชเพาะปลูกเป็นอาหารในแถบเอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเชียตะวันออก

 

คนไทยเรารู้จักและกินมะเขือพวงมานานแล้ว มะเขือพวงทำให้กลิ่นรสของเครื่องจิ้มต่างๆ มีความพิเศษออกไปจากปกติ เรากินผลอ่อนมะเขือพวงโดยนำไปโขลกกับน้ำพริกปลาทู น้ำพริกแมงดา น้ำพริกกะปิ น้ำพริกขี้กา น้ำพริกกุ้งสด น้ำพริกหอยแมลงภู่ น้ำพริกไข่เค็ม และปลาร้าทรงเครื่อง หากใช้เป็นผักจิ้มนิยมทำให้สุกโดยการเผา ปิ้ง หรือย่าง พอให้ผิวกรอบหรือไหม้บางส่วน จะทำให้รสชาติดีขึ้น และผลนิ่มกว่าเมื่อยังดิบ หรืออาจนำไปลวกหรือต้มให้สุกก็ได้ นอกจากนี้ ใช้มะเขือพวงใส่แกงเขียวหวาน แกงป่า แกงคั่วปลาไหล แกงอ่อมปลาดุก ซุปอีสานและแกงเผ็ดอื่นๆ

 

ชาวไอเวอรี่โคสต์นำผลมะเขือพวงใส่ซุปและซอสต่างๆ

 

ชาว ทมิฬทางใต้ของอินเดียใช้ผลแช่นมเปรี้ยวแล้วตากแห้งประกอบอาหารทั้งเป็น เครื่องเคียงอาหารแป้ง และใส่ในแกงแขกแบบทางใต้หลายชนิด ชาวลาวใส่มะเขือพวงในแกงเผ็ดเช่นกัน

มะเขือพวงเป็นพืชผักกินผลที่ให้ธาตุ แคลเซียม ฟอสฟอรัส และธาตุเหล็กค่อนข้างสูง เป็นพืชผักชนิดกินผลที่ปลูกง่าย โตเร็ว ไม่มีปัญหาเรื่องโรคพืช และแมลงศัตรูพืชแต่อย่างใด

 

เมื่อกินมะเขือพวงสุก ๑๐๐ กรัม จะได้คุณค่าของสารอาหารดังนี้

 

(เทียบเคียงข้อมูลของมะเขือพวงและมะเขืออื่นจากอินเทอร์เน็ต)

 

พลังงาน ๒๔ กิโลแคลอรี

คาร์โบไฮเดรต ๕.๗ กรัม

น้ำตาล ๒.๓๕ กรัม

เส้นใยอาหาร ๓.๔ กรัม

ไขมัน ๐.๑๙ กรัม

โปรตีน ๑.๐๑ กรัม

ไทอะมีน (วิตามีนบี ๑) ๐.๐๓๙ มิลลิกรัม

ไรโบฟลาวิน (วิตามินบี ๒) ๐.๐๓๗ มิลลิกรัม

ไนอะซิน (วิตามินบี ๓) ๐.๖๔๙ มิลลิกรัม

กรดแพนโทเทนิก (วิตามินบี ๕) ๐.๒๘๑ มิลลิกรัม

วิตามินบี ๖ ๐.๐๘๔ มิลลิกรัม

โฟเลต (วิตามินบี ๙) ๒๒ ไมโครกรัม

วิตามินซี ๒.๒ มิลลิกรัม

แคลเซียม ๙ มิลลิกรัม

เหล็ก ๐.๒๔ มิลลิกรัม

แมกนีเซียม ๑๔ มิลลิกรัม

ฟอสฟอรัส ๒๕ มิลลิกรัม

โพแทสเซียม ๒๓๐ มิลลิกรัม

สังกะสี ๐.๑๖ มิลลิกรัม

แมงกานีส ๐.๒๕ มิลลิกรัม

 

 

สารสำคัญที่พบในมะเขือพวง

 

 

ทอร์โวไซด์ เอ, เอช (torvoside A, H) เป็นสตีรอยด์ไกลไซด์จากผลมะเขือพวง งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยมหิดลในปี พ.ศ.๒๕๔๕ พบว่าทอร์โวไซด์ เอช มีฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัสเริมชนิดที่ ๑ (Herpes simplex virus type 1) โดยมีฤทธิ์ยับยั้งไวรัสมากกว่ายาอะไซโคลเวียร์ถึง ๓ เท่า

 

ทอร์โวนิน บี (torvonin B) เป็นซาโพนินชนิดหนึ่ง เชื่อกันว่าทำให้มะเขือพวงมีฤทธิ์ขับเสมหะ

 

ซลานีน (solanine) เป็นอัลคาลอยด์จากพืชตระกูลมะเขือ

โซลานีนเป็นสารที่ทำให้เกิดความไม่สมดุลของแคลเซียมในร่างกาย ผู้ป่วยโรคไขข้อจึงไม่ควรกินพืชตระกูลมะเขือ

 

บุคคลทั่วไปที่กินพืชตระกูลนี้ควรกินอาหารกลุ่มนม-เนยด้วยเพื่อป้องกันความไม่สมดุลของแคลเซียมดังกล่าว

 

ผู้ที่ไวต่อโซลานีนอาจมีอาการท้องเสีย ปวดหัว หรืออาเจียน ถ้าทำให้สุกด้วยความร้อนแล้วโอกาสที่จะป่วยด้วยสารดังกล่าวนี้ก็จะลดลง

 

โซลาโซนีนและโซลามาจีน (solasonine and solamagine) เป็นไกลโคซิเลตอัลคาลอยด์ที่พบในพืชตระกูลมะเขือ พบร้อยละ ๐.๐๔ ของใบแห้ง ในมะเขือพวงบางสายพันธุ์ (มักพบแถบแคริบเบียน) มีปริมาณสารเหล่านี้มาก

 

ผู้ที่ไวต่อสารดังกล่าวถ้ากินมะเขือพวงดิบอาจเกิดอาการของระบบทางเดินอาหารและระบบประสาทได้

 

โซลาโซดีน (solasodine) เป็นสารที่มีสรรพคุณต้านโรคมะเร็ง จากการศึกษาวิจัยพบว่า สารโซลาโซดีนมีประสิทธิภาพยับยั้งการแบ่งตัวที่ผิดปกติของเซลล์อันเป็น สาเหตุหลักของโรคมะเร็ง

 

 

มะเขือพวงมีประโยชน์ต่อสุขภาพ

 

มะเขือ พวงเป็นพืชที่ช่วยเสริมสุขภาพ โดยมีสรรพคุณตามตำราแพทย์แผนไทยคือ ช่วยเจริญอาหาร ย่อยอาหาร ช่วยระบบขับถ่าย บำรุงธาตุ ขับเสมหะ แก้ไอ ช่วยให้โลหิตหมุนเวียนดี แก้ฟกช้ำ ไอเป็นเลือด ฝีบวมมีหนองช

 

ข้อมูล ทางวิทยาศาสตร์ได้แสดงคุณสมบัติที่เด่นชัดของมะเขือพวง ในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของลำไส้เพื่อตอบสนองต่อสารพิษที่เข้ามายัง ระบบทางเดินอาหาร มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระช่วยป้องกันความเสื่อมและแก่ก่อนวัย มีฤทธิ์ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในโรคเบาหวาน อีกทั้งยังมีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายหลายชนิด

 

ต้น ใบ และผล เป็นยาเย็นรสจืด ทำให้โลหิตหมุนเวียนดี แก้ปวด ฟกช้ำ ตรากตรำทำงานหนัก กล้ามเนื้อบริเวณเอวฟกช้ำ ไอเป็นเลือด ปวดกระเพาะ ฝีบวมมีหนอง อาการบวมอักเสบ ขับเสมหะ

 

ต้น อินเดียใช้น้ำสกัดจากต้นมะเขือพวงแก้พิษแมลงกัดต่อย

 

ใบสด น้ำคั้นใบสดใช้ลดไข้ ในแคเมอรูนใช้ใบห้ามเลือด ใช้เป็นยาระงับประสาท พอกให้ฝีหนองแตกเร็วขึ้น แก้ปวด ทำให้ฝียุบ แก้ชัก ไอหืด ปวดข้อ โรคผิวหนัง ขับปัสสาวะ ขับเหงื่อ และแก้ซิฟิลิส

 

ผล ผลของมะเขือพวงมีรสขื่น เฝื่อน อมเปรี้ยวเล็กน้อย หลายประเทศนำผลมาต้มน้ำกรองน้ำดื่ม มีสรรพคุณในการขับเสมหะ ช่วยระบบย่อยอาหาร รักษาอาการเบาหวาน

 

ประเทศจีนใช้ต้มน้ำดื่มแก้ไอและ บำรุงเลือด ทำให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรง ผลแห้งย่างกินแกล้มอาหารบำรุงสายตาและรักษาอาการติดเชื้อแบคทีเรีย

 

อินเดียกินผลเพื่อบำรุงตับ ช่วยบรรเทาโรคแผลในกระเพาะอาหาร ขับปัสสาวะ ช่วยย่อย และช่วยให้ผ่อนคลายง่วงนอน บำรุงตับ

อินเดียทางตอนใต้ใช้ผลอ่อนบำรุงกำลังให้ร่างกาย ผลแห้งหุงน้ำมันเล็กน้อย บดเป็นผงกินครั้งละ ๑ ช้อนชาลดอาการไอและเสมหะ

 

แคเมอรูนใช้ผลมะเขือพวงรักษาโรคความดันโลหิตสูง

 

เมล็ด มาเลเซียนำเมล็ดไปเผาให้เกิดควัน สูดเอาควันรมแก้ปวดฟัน

 

 

มะเขือพวงกับเพ็กทิน

 

งาน วิจัยพบว่า มะเขือพวงมีสารเส้นใยละลายน้ำได้ที่เรียกว่า เพ็กทิน (pectin) ซึ่งเป็นสารที่พบในผนังเซลล์ของพืช ผัก และผลไม้ต่างๆ เมื่อผ่านการกินเพ็กทินจะเปลี่ยนรูปเป็นวุ้นไปเคลือบผิวลำไส้ และช่วยเพิ่มความหนืดของอาหาร ทำให้อาหารเคลื่อนตัวผ่านลำไส้ได้ช้า ลำไส้จึงดูดซึมแป้งและน้ำตาลที่ย่อยแล้วได้ช้าลง ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดค่อนข้างคงที่ การดูดซึมคอเลสเตอรอลจากอาหารหรือน้ำดีลดลง และเกิดการสร้างน้ำดีขึ้นมาทดแทน

 

นอกจากนี้ พบว่าเพ็กทินมีคุณสมบัติดูดซับไขมันส่วนเกินจากอาหาร ลดการดูดซึมอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตเข้าสู่ร่างกาย สารเส้นใยนี้ยังสามารถดึงน้ำไว้ได้เป็นจำนวนมาก จึงช่วยเพิ่มปริมาณอุจจาระ และกระตุ้นให้ระบบขับถ่ายทำงานได้เป็นปกติ ที่ลำไส้ใหญ่ แบคทีเรียในระบบทางเดินอาหารย่อยเพ็กทินให้กรดไขมันขนาดเล็กซึ่งเป็น ประโยชน์กับร่างกาย

 

การศึกษาปริมาณเพ็กทินในมะเขือ ๓ ชนิด ได้แก่ มะเขือยาว มะเขือเปราะ และมะเขือพวง พบว่ามะเขือพวงมีปริมาณเพ็กทินสูงสุด มะเขือยาวมีปริมาณเพ็กทินน้อยกว่ามะเขือพวง ๓ เท่า และมะเขือเปราะมีน้อยกว่า ๖๕ เท่า จึงอาจกล่าวได้ว่า เพ็กทินในมะเขือพวงเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้มะเขือพวงมีคุณสมบัติลดน้ำตาล ลดคอเลสเตอรอล ลดความดันโลหิต และช่วยความสมดุลของระบบขับถ่ายดังที่ใช้กันในหลายประเทศ

 

 

!034 !_02 !La

 

http://www.doctor.or.th/node/10763

ถูกแก้ไข โดย moddang..

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณคุณมดแดงครับ

มะเขือนี่คนไทยรู้คุณค่าของมันดีในการช่วยลดไขมัน ลดคลอเรสเตอรอล สำหรับอาหารที่เป็นแกงกะทิก็มักจะใส่มะเขือลงไปเป็นผักหลักเพื่อแก้ความมันของกะทิ ดังนั้นถ้าจะกินแกงเขียวหวานให้อร่อยและดีต่อสุขภาพก็ควรจะกินทั้งน้ำ เนื้อ และมะเขือไปด้วยกัน อย่าเืลือกกินแต่เนื้อแล้วเขี่ยมะเขือทิ้งเป็นอันขาด

 

:ph34r:

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

อิอิ มาช่วยเป็นหน้าหมา เอ๊ยม้า ดึงกระทู้จร้า เดี๋ยวคนโพสต์น้อยใจ แล้วไม่หาอะไรมาให้อ่านอีกlaugh.gif

อ้อ นึกได้ ขอเพิ่มเติมหน่อยนึงครับ ขมิ้นชันซื้อเขาทำสำเร็จกินเถอะครับ เคยทำเอง ยุ่งยากมากเลย ยางของขมิ้นชันเยอะมากติดมีดติดมือ กว่าจะหั่น กว่าจะตาก เลือดตากระเด็น อิอิ ซื้อเขาก็ถูกๆ ได้ผลดีด้วยครับ

ส่วนเรื่องมะเขือพวงแก้ความมันของกระทิที่คุณงูดินพูดถึง อ่านแล้วทำให้เข้าใจในแบบเก่าๆที่เราถูกฝรั่งหลอกว่าน้ำมันมะพร้าว(กระทิ)เป็นอันตราย เลยมาช่วยเสริมให้ว่าน้ำมันมะพร้าวไม่ได้เป็นอันตรายแบบที่สมัยก่อนเราถูกหลอกมานะครับ ดีและมีประโยชน์กว่าที่คิดcool.gif

ถูกแก้ไข โดย MOR LEK

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวัสดีค่ะ ท่านทั้งสอง

 

และขอบคุณมากค่ะ ที่มาช่วย พอดี วันนี้ก็นอนน้อยเหมือนเดิม เลยยังไม่อยากทำอะไร แต่ก็ไม่ได้นอน จนแล้วจนรอด มดแดงไม่อยากพูดประโยคเดิมๆ เลย แต่เป็นเรื่องจริง ใน 5 วันต่ออาทิตย์ มีธุระของบุพการีอย่างน้อย 2 วัน ที่ต้องพาไป และตัวเองต้องไป มันต้องตื่นเช้า แต่ก็มักจะนอนดึก มันก็เลยไม่ค่อยโผล่ เพราะไม่อยากแค่มาโยน ถ้าแบบนั้นแป็ปเดียว บางเรื่องยาว ใส่สีมากไป เพี้ยนอีก แก้อีก ผิดอีก

 

วันนี้ขอต่อเรื่องเดิมนะคะ มะเขือพวงต่อ

 

 

:lol: มะเขือพวงกับโรคเบาหวาน

 

งาน วิจัยที่ศึกษาปฏิกิริยาต้านอนุมูลอิสระของเครื่องดื่มจากมะเขือพวงแห้ง พบว่าน้ำสมุนไพรมะเขือพวงสามารถลดระดับอนุมูลอิสระซูเปอร์ออกไซด์ หรืออนุมูลอิสระไนทริกออกไซด์ในเลือดหนูที่เป็นเบาหวานได้ ซึ่งเป็นอนุมูลอิสระที่ก่อให้เกิดสภาวะเครียดในหนูทดลองที่มีอาการของโรคเบา หวาน ส่งผลต่อสภาวะเครียดออกซิเดชันในเม็ดเลือดแดง น้ำสมุนไพรมะเขือพวงลดไขมันที่ถูกออกซิไดซ์เป็นไขมันไม่ดีในหนูที่มีอาการ เบาหวาน นอกจากนี้พบว่าระดับน้ำตาลในเลือดของหนูเบาหวานลดลงด้วย

 

 

:mellow: มะเขือพวงกับโรคความดันโลหิตสูงและปัญหาเกล็ดเลือด

 

งานวิจัยที่ประเทศแคเมอรูนพบว่า เมื่อให้สารสกัดน้ำและแอลกอฮอล์ของผลมะเขือพวงกับหนูทดลองพบว่าความดันโลหิต ของหนูต่ำลง และลดอัตราการเต้นของหัวใจด้วย โยฮิมบีนและอะโทรพีนไม่มีผลต่อฤทธิ์การลดความดันโลหิตของสารสกัดมะเขือพวง แต่โยฮิมบีนยับยั้งผลการลดอัตราการเต้นหัวใจของสารสกัดน้ำมะเขือพวง

 

เมื่อทดสอบการเกาะตัวของเกล็ดเลือดที่กระตุ้นโดยทรอมบินหรืออะดีโนซีนไตรฟอสเฟต พบว่าสารสกัดน้ำมะเขือพวงยับยั้งการรวมตัวของเกล็ดเลือดจากผลของสารทั้งสอง ดังกล่าว ฤทธิ์ลดความดันโลหิตของสารสกัดผลมะเขือพวงทั้ง ๒ ชนิดน่าจะเกิดจากการทำให้หัวใจเต้นช้าลง ผนวกกับผลยับยั้งการรวมตัวของเกล็ดเลือดทำให้มะเขือพวงมีประโยชน์สำหรับผู้ มีความดันโลหิตสูงและมีปัญหาเรื่องการรวมตัวของเกล็ดเลือด ตามที่มีการใช้งานมาแต่ดั้งเดิมนั่นเอง

 

 

:rolleyes: มะเขือพวงต้านอนุมูลอิสระและต้านอักเสบ

งาน วิจัยฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและปริมาณสารฟีนอลิกรวมสารสกัดแอลกอฮอล์ของผล มะเขือตากแห้งแช่แข็ง ๑๑ ชนิดในประเทศไทยในปี พ.ศ.๒๕๕๑ พบว่าสารสกัดแอลกอฮอล์จากผลมะเขือพวงมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงสุด และมีปริมาณรวมสารฟีนอลิกรวมสูงสุด

 

การศึกษาฤทธิ์ของมะเขือพวงโดยคณะ นักวิจัยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในปี พ.ศ.๒๕๕๒ พบว่า สารสกัดมะเขือพวงมีสารโพลีฟีนอลสูง สารสกัดยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไซโตโครมพี 450 2E1 ในไมโครโซมของตับ มีฤทธิ์ขจัดอนุมูลอิสระที่เกี่ยวข้องกับไลพิดเพอร์ออกซิเดชันและซูเปอร์ ออกไซด์แอนไอออน ผู้วิจัยเชื่อว่าสารสกัดมะเขือพวงมีศักยภาพในการลดความเครียดออกซิเดชันใน ผู้ป่วยเบาหวาน

 

งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยมหิดลร่วมกับมหาวิทยาลัยแห่ง รัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ.๒๕๕๒ พบว่าสารสกัดแอลกอฮอล์จากมะเขือพวงมีฤทธิ์ต้านการผลิตไนตริกออกไซด์ และ TNF-? ในเซลล์มิวรีนมาโครฟาจที่ถูกกระตุ้นด้วยไลโพโพลีแซ็กคาไรด์ของแบคทีเรียใน ภาชนะเพาะเลี้ยง จึงมีฤทธิ์ต้านอักเสบ

 

นอกจากนี้ งานวิจัยจากสถาบันวิจัยป่าไม้ประเทศมาเลเซียพบว่าสารสกัดผลมะเขือพวงมีผล ยับยั้ง platelet activating factor (PAF) ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคหอบหืด การอักเสบเฉียบพลัน ภูมิแพ้และภาวะเลือดแข็งตัวอีกด้วย

 

 

-_- มะเขือพวงบำรุงไต

 

งาน วิจัยในอินเดียในปี พ.ศ.๒๕๔๕ พบว่าสารสกัดมะเขือพวงเมื่อให้ก่อนรับยามีความสามารถป้องกันและรักษาอาการ พิษต่อไตที่เกิดจากยาคีโมรักษามะเร็งได้ การทดลองในหนูเมื่อให้ยาโดรูไบซิน พบว่าหนูทดลองเกิดการอุดตันในท่อไตและมีแผลในท่อไต เมื่อได้รับสารสกัดมะเขือพวงก่อนรับยาหนูไม่มีอาการดังกล่าว การศึกษานี้จึงสนับสนุนการใช้มะเขือพวงในการบำรุงไตของหลายประเทศ

 

 

:P มะเขือพวงรักษาแผลในกระเพาะอาหาร

 

กลุ่ม วิจัยในแคเมอรูนในปี พ.ศ.๒๕๕๑ พบว่า สารสกัดน้ำและแอลกอฮอล์ของมะเขือพวงมีฤทธิ์ต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหารที่ เกิดจากแอลกอฮอล์ ยา และความเครียด ส่วนที่ให้ผลดังกล่าวเพราะมีองค์ประกอบเป็นสารกลุ่มฟลาโวนอยด์และไทรเทอร์พี น ผลวิจัยนี้สนับสนุนการใช้งานใบมะเขือพวงของแพทย์พื้นบ้านในประเทศแคเมอรูน

 

 

:D มะเขือพวง จิ๋วแต่แจ๋ว

 

จะเห็นว่ามะเขือพวงผลน้อยนิดนี่เป็นพืชที่มีคุณค่าเกินขนาดจริงๆ ใครที่เคยเขี่ยมะเขือพวงออกจากอาหารควรเปลี่ยนใจหันมากินมะเขือพวงกันได้ แล้ว

 

คนโบราณกล่าวไว้ว่าขมเป็นยา อยากสุขภาพดีก็ฝึกกินมะเขือพวงสุกทีละน้อยให้เกิดความคุ้นเคยกันดีกว่านะคะ

มะเขือพวงเป็นไม้ทนโรคพืช การเพาะปลูกมักไม่ต้องใส่สารพิษฆ่าแมลงจึงค่อนข้างแน่ใจว่าเมื่อกินมะเขือพวงได้ผักปลอดสารพิษแน่นอน

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เปลือกมังคุด

 

att00034.jpg

 

ประโยชน์จากเปลือกมังคุด

 

ในบรรดาผลไม้ทั้งมวล ผลไม้ที่ได้รับการยกย่องให้เป็น "ราชาของผลไม้" ก็คือ "ทุเรียน" ด้วยทั้งลักษณะภายนอกของผลที่เป็นหนามคล้ายมงกุฎของพระราชา และเนื้อในที่มีรสชาติที่แสนอร่อยที่ยากจะหาผลไม้อื่นมาเทียบได้ขณะเดียวกัน ในบรรดาผลไม้ทั้งมวลผลไม้ที่ได้รับการยกย่องให้เป็น "ราชินีของผลไม้" ก็คือ "มังคุด" ด้วยลักษณะภายนอกของผลที่มีกลีบเลี้ยงติด อยู่ที่หัวขั้วของผลคล้ายมงกุฎของพระราชินีส่วนเนื้อในก็มีสีขาวสะอาด มีรสชาติที่แสนหวาน อร่อยอย่างยากที่จะหาผลไม้อื่นมาเทียบได้เช่นเดียวกัน

 

 

คน ไทยเราจึงโชคดีเป็นอย่างยิ่งที่เมื่อย่างเข้าฤดูฝนก็จะมีทั้งราชาและราชินี ของผลไม้ออกมาให้ได้รับประทานกันอย่างเต็มอิ่ม แถมยังมีราคาถูกอย่างไม่น่าเชื่อ จนเป็นที่อิจฉาของชาวต่างประเทศในหลายประเทศ ถึงขนาดที่พวกเขายอมลงทุนขึ้นเครื่องบินมากินทุเรียนและมังคุดในเมืองไทยกัน ปีละครั้งกันเลยทีเดียว เพราะมีไม่กี่ประเทศในโลกที่ปลูกทุเรียนและมังคุดได้ และทุเรียนและมังคุดของไทยก็จัดว่าอร่อยที่สุด

 

มังคุดเป็นไม้ผลเมืองร้อน แต่ชอบฝนชุ่มฉ่ำ จึงปลูกมากทางภาคใต้ของประเทศไทย เป็นไม้ยืนต้น ต้นตั้งตรงสูง 10 - 12 เมตร ทุกส่วนจะมียางสีเหลืองมีใบเดี่ยวรูปไข่เนื้อใบหนา ค่อนข้างเหนียวคล้ายหนัง สีเขียวเข้มเป็นมัน ออกดอกเป็นดอกเดี่ยวหรือดอกคู่ที่ซอกใบใกล้ปลายกิ่ง กลีบเลี้ยงสีเขียวอมเหลือง กลีบดอกสีแดงฉ่ำน้ำ เนื้อในของผลมังคุดสีขาวห่อหุ้มด้วยเปลือกหนาสีม่วงอมแดง หรือม่วงอมน้ำตาลอันมีกระจุกของกลีบเลี้ยงของดอกติดอยู่ที่ขั้วของผลอันเป็น เอกลักษณ์ของมังคุด

 

มังคุด เป็นผลไม้ยอดนิยมที่สุดชนิดหนึ่งของคนไทย จะมีออกมาให้เราบริโภคเพียงปีละครั้ง คือช่วงย่างเข้าฤดูฝนด้วยเอกลักษณ์ของผลกลมขนาดไม่ใหญ่ไปกว่ากำมือมีกลีบ เลี้ยงของดอกสีเขียวเป็นกระจุกด้านบน และกลีบดอกสีแดงแข็งเหลือติดอยู่ด้านล่างของผล สีของเปลือกสีม่วงอมแดงหรือม่วงอมน้ำตาลอันเป็นเอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่ง หากเสื้อผ้าหรือสิ่งของมีสีม่วงแดงหรือน้ำตาลก็จะเรียกว่าสีเปลือกมังคุด เมื่อบิเปลือกของผลมังคุดออกสองซีก และพบเมล็ด 6 - 8 เมล็ด ที่มีเนื้อนุ่มฉ่ำน้ำสีขาวสะอาดเบียดกันอยู่ภายในวงล้อมของเปลือกหนาสีม่วง เมล็ดที่มีเนื้อนุ่มสีขาวนี้แหละที่มีรสอร่อยหวานอมเปรี้ยว ได้กินแล้วก็แสนจะชื่นใจ

 

หาก เป็นคนสังเกตสักหน่อยก็จะพบว่า จำนวนของเนื้อสีขาวภายในผลมังคุดนี้จะมีจำนวนเทากับกลีบ ดอกสีแดงที่เหลือติดอยู่ด้านล่างภายนอกของผล ผู้ใหญ่ที่ทราบเรื่องนี้ก็มักจะเล่นทายจำนวนเนื้อภายใน ของผลมังคุดกับ เด็กๆ โดยจะแอบดูจำนวนกลีบดอกที่ติดอยู่ภายนอกของผล อันเป็นความเพลิดเพลินเล็กๆ น้อยๆ ก่อนที่จะได้ลิ้มรสอันแสนอร่อยของเนื้อในมังคุด

 

การ บริโภคมังคุด ทำให้เราได้กากใยจากเนื้อของมังคุดที่ช่วยในการขับถ่าย และยังได้สารอาหาร วิตามินและเกลือแร่อื่นๆ อีกหลายชนิด เช่น น้ำตาล กรดอินทรีย์ แคลเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็ก ประโยชน์ของมังคุดมิได้มีอยู่แค่เนื้อในของมังคุดที่เราใช้เป็นอาหารเท่า นั้น เปลือกของมังคุดกับมีประโยชน์มากมายที่สามารถนำมาใช้เป็นยารักษาโรคอย่างได้ ผล

 

คน ไทยรู้จักการใช้ประโยชน์จากเปลือกมังคุดมาเป็นยารักษาโรคมานานแล้ว เพราะคนไทยสมัยโบราณค้นพบว่าเปลือกมังคุดรสฝาดสมาน จึงนำเปลือกมังคุดมาใช้เป็นยาแก้ท้องเสีย แก้ท้องร่วงเรื้อรัง ถ่ายเป็นมูกเลือด โดยการใช้เปลือกสดหรือเปลือกแห้งฝนกับน้ำรับประทาน หรือจะใช้เปลือกแห้งต้มกับน้ำรับประทานก็ได้ผลเช่นเดียวกัน

 

เปลือก มังคุดยังมีสรรพคุณในการสมานแผล ช่วยให้แผลหาเร็ว เช่นใช้รักษาบาดแผลผุพอง แผลเน่าเปื่อย แผลเป็นหนอง โดยการใช้เปลือกมังคุดฝนกับน้ำปูนใสทาบริเวณแผล น้ำต้มเปลือกมังคุดแห้งต้มน้ำล้างแผลใช้แทนการด้วยน้ำยาล้างแผลหรือด่าง ทับทิมได้ด้วย

สรรพคุณ ที่โดดเด่นอีกอย่างหนึ่งของเปลือกมังคุดที่มีการใช้กันมาตั้งแต่อดีต ก็คือการใช้เปลือกมังคุดรักษาโรคผิวหนัง เช่น กลากเกลื้อน บรรเทาอาการผดผื่นทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ได้เป็นอย่างดี โดยใช้เปลือกมังคุดแห้งต้มน้ำอาบ หรือใช้น้ำต้มเปลือกมังคุดทาบริเวณที่มีอาการ

 

สรรพคุณ ในการรักษาโรคผิวหนังของเปลือกมังคุดนี้ได้รับการพิสูจน์และยืนยันจากการ วิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบว่า รสฝากในเปลือกมังคุดนี้มีสารแทนนิน (Tannin) และสารแซนโทน (Xanthone) ที่มีชื่อเรียกเฉพาะชื่อเดียวกับมังคุดว่า สารแมงโกสติน (mangostin) สาร แทนนินมีฤทธิ์สมานแผลช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น สารแมงโกสตินมีฤทธิ์ช่วยลดอาการอักเสบ และต้านเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนอง สารแซนโทนในเปลือกมังคุดยังมีฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรค ผิวหนังและกลากได้

 

ความ ก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ได้ช่วยยืนยันและช่วยรื้อฟื้นให้ภูมิปัญญาพื้นบ้าน ให้กลับมาเข้ายุคเข้าสมัยได้อีกครั้งหนึ่ง ปัจจุบันวงการเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดได้ให้ความสนใจนำสารสกัด จากเปลือกมังคุดไปใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น สบู่เปลือกมังคุด ที่ช่วยดับกลิ่นเต่าช่วยบรรเทาโรคผิวหนัง รักษาสิวฝ้า ซึ่งใช้ได้ผลดีและเป็นที่นิยมของผู้บริโภค

 

ฤดู ฝนนี้ เมื่อได้ลิ้มรสของเนื้อในของมังคุดอย่างอิ่มเอมแล้ว ก็อย่าได้ทิ้งขว้างเปลือกมังคุดให้เป็นขยะเน่าเหม็นโดยเปล่าประโยชน์เลย รวบรวมแล้วตากให้แห้งสนิทเก็บใส่ขวดโหล ไว้ใช้ทำยาแก้ท้องเสีย ยารักษาแผล ยารักษาโรคผิวหนัง หรือแม้แต่นำไปทำสบู่เปลือกมังคุดสำหรับอาบน้ำดับกลิ่นตัว ก็จะเพิ่มค่าอีกมากโข คุ้มเกินคุ้มกว่าราคากิโลละ 25 บาท ที่เราซื้อมาเสียอีก หากเผลอไผทิ้งขว้างไป เมื่อผ่านพ้นฤดูของมังคุดไปก็จะหามังคุดอีกไม่ได้ จะมาเสียดายภายหลัง ต้องรอถึงฝนหน้าจึงจะได้ยลโฉมราชินีของผลไม้อีกที

 

 

 

สารสกัดจากเปลือกมังคุด[/color]

 

ประเทศไทยนับว่าเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพแห่งหนึ่งของโลก นอกจากพื้นที่ที่อุดมไปด้วยทรัพยากรทางธรรมชาติ และสถานที่ท่องเที่ยวมากมายแล้ว ยังมีผักและผลไม้ที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น ทุเรียน เงาะ มังคุด ฯลฯ ในบรรดาผลไม้ทั้งหมด “มังคุด” ได้รับการยกย่องให้เป็น “ราชินีแห่งผลไม้” (Queen of fruits) ด้วยลักษณะเฉพาะของผลมังคุดที่มีกลีบเลี้ยงอยู่ที่หัวขั้วของผล คล้ายมงกุฏของราชินี เนื้อด้านในมีสีขาวนวล รสชาติหวานอมเปรี้ยวอร่อยอย่างยากที่จะมีผลไม้ชนิดใดในโลกเทียบเคียงได้

มังคุด (Mangosteen) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Garcinia mangostana Linn.

จัดอยู่ในวงศ์ Guttiferae

 

มังคุด เจริญเติบโตได้ในดินเกือบทุกชนิด แต่ดินที่เหมาะสมควรเป็นดินเหนียวปนทราย ที่มีความอุดมสมบูรณ์สูงสามารถอุ้มน้ำและระบายน้ำได้ดี พื้นที่ที่เหมาะสมต่อการปลูกมังคุดควรมีสภาพภูมิอากาศร้อนและชุ่มชื้น คือ มีอุณหภูมิอยู่ในช่วง 25-30 องศาเซลเซียสและมีฝนตกชุกสม่ำเสมอ มังคุดจึงปลูกมากทางภาคใต้ของประเทศไทย

เปลือกมังคุด (pericarp)

 

ด้วย เทคโนโลยีที่เจริญก้าวหน้าในปัจจุบัน กระบวนการทางวิทยาศาสตร์สามารถทำการศึกษาถึงประโยชน์จากสารสำคัญที่มีอยู่ใน เปลือกมังคุด คือ แทนนินและแซนโทน สารแซนโทนมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidants) จึงมีการศึกษามากมายที่ชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ของสารแซนโทนที่มีในเปลือกมังคุด แซนโทนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่แรง (potent antioxidants) พบได้มากในเปลือกมังคุด และมีผลของการศึกษาฤทธิ์ในการจับอนุมูลอิสระโดยวิธี ORAC (Oxygen Radical Absorbance Capacity) Brunswick Laboratories ทำ การเปรียบเทียบระหว่างน้ำผลไม้อื่นๆและมังคุด พบว่า มังคุดมีฤทธิ์ในการจับอนุมูลอิสระมากกว่า แครอท ราสเบอรรี่ บลูเบอรรี่ ทับทิม อนุมูลอิสระ (free radicals) เป็นโมเลกุลที่เกิดขึ้นจากกระบวนการลูกโซ่ (chain reaction) ของปฎิกิริยาออกซิเดชัน (oxidation) ที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย ดังนั้นร่างกายจึงต้องหาทางป้องกันการโดนทำลายจากอนุมูลอิสระ โดยสิ่งที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อป้องกันตนเอง คือระบบแอนติออกซิแดนท์ (antioxidants) อย่างไรก็ตามภาวะที่ปริมาณอนุมูลอิสระมีมากเกินกว่าระบบแอนติออกซิแดนท์จะจัดการได้ จะเกิดภาวะเครียดขึ้น (oxidative stress) ก่อให้เกิดผลเสียต่อเซลล์ และการทำลายเซลล์ ซึ่งเป็นสาเหตุ ของการแก่ (aging) และรุนแรงไปถึงการเกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ เช่นการกระตุ้นให้เกิดไขมันสะสมในหลอดเลือดนำไปสู่ภาวะเส้นเลือดตีบ โรคเกี่ยวกับภูมิคุ้มกัน(autoimmune disease) รวมไปถึงโรคมะเร็ง (cancer) เป็นต้น

 

สารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidants) ทำลายฤทธิ์ของอนุมูลอิสระโดยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันในส่วนต่างๆ ของร่างกาย นอก จากร่างกายสามารถสร้างสารต้านอนุมูลอิสระได้เองตามที่กล่าวข้างต้นแล้ว ในวิตามิน แร่ธาตุ และสารจากผักและผลไม้ก็พบสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ด้วย แซนโทนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่แรง (potent antioxidants) พบได้มากในเปลือกมังคุด ปัจจุบัน มีการศึกษาถึงประโยชน์ของสารแซนโทนจากเปลือกมังคุดในเรื่องต่างๆดังนี้ผลจาก ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารแซนโทน จึงป้องกันการเกิดออกซิเดชันของLDL ซึ่งเป็นคลอเลสเตอรอลตัวร้าย จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ (cardiovascular disease)

 

ภาวะไขมันอุดตันหลอดเลือดหัวใจ

อีกทั้งยังลดการทำลายเซลล์ อันเป็นผลจากปฏิกิริยาลูกโซ่ จึงช่วยลดความเสี่ยงและชะลอการแก่ (aging) ด้วย ผลต่อการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งต่างๆรวมถึงการตายของเซลล์ มะเร็งในการศึกษาระดับห้องปฎิบัติการ เช่น เซลล์มะเร็งเต้านม, เซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว , เซลล์มะเร็งตับ, กระเพาะอาหาร และเซลล์มะเร็งปอด

 

การกลายพันธุ์ของเซลมะเร็ง

 

- ผลดีต่อระบบภูมิคุ้มกัน และยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราและแบคทีเรียบางชนิด เช่น เชื้อวัณโรค (Mycobacterium tuberculosis) , เชื้อ S. Enteritidis และเชื้อ HIV

- ฤทธิ์ในการช่วยขยายตัวของหลอดเลือด (vasorelaxing activities) ดังนั้นจึงมีประโยชน์ในการลดความดันโลหิต (antihypertensive)

- การยับยั้งการหลั่งสารฮิสตามีน (histamine) ฤทธิ์ต้านซิโรโทนิน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการป้องกันโรคภูมิแพ้ (allergies)

 

อาการแพ้

 

การยับยั้งการสังเคราะห์สารพลอสตาแกลนดินอีทู (PGE2) ซึ่ง เป็นสาเหตุของการเกิดกระบวนการอักเสบต่างๆ เช่น การปวดอักเสบ กล้ามเนื้อ และข้อสารแซนโทนสามารถทำให้ปริมาณน้ำตาลในกระแสเลือดของผู้ที่เป็นเบาหวาน ชนิดที่ II(ผู้ใหญ่) ลดลง ซึ่งอาจจะเป็นกลไกที่แซนโทนทำให้การทำงานของอินซูลินดีขึ้น จึงสามารถนำน้ำตาลเข้าสู่เซลล์ได้เร็วขึ้น

การอักเสบของส่วนต่างๆ แผลภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวาน

มังคุด จึงไม่ใช่เพียงผลไม้ที่มีรสชาติอร่อยแต่ยังมีคุณประโยชน์ต่อร่างกาย ทั้งคุณค่าทางโภชนาการและการนำมาใช้เป็นยารักษาโรคได้อีกด้วย “มังคุด” จึงเป็นของขวัญล้ำค่าที่ธรรมชาติได้มอบให้กับมวลมนุษยชาติอย่างแท้จริง

 

เหตุผล 33 ประการ ที่ควรพิจารณาใช้สารสกัดจากมังคุด

- ต้านอาการเมื่อยล้า (เพิ่มพลังอาหาร)

- ป้องกันการระคายเคือง อักเสบ

- ลดการเจ็บปวด

- ต้านการเกิดแผลในปาก

- ระงับอาการกดประสาท (ลดความเครียด)

- ลดอาการกังวล

- ลดภาวะสมองเสี่อม ช่วยป้องกันความผิดปกติของสมอง

- ป้องกันการเกิดเนื้องอกและมะเร็ง

- เพิ่มภูมิคุ้มกันโรค

- ชะลอความชรา

- ต้านอนุมูลอิสระ

- ต้านเชื้อไวรัส

- ต้านเชื้อแบคทีเรีย

- ต้านเชื้อรา

- ต้านการขับไขมันจากต่อมไขมันใต้ผิวหนังมากเกินไป (ต้านการทำงานของผิวหนังผิดปกติ)

- ลดไขมันที่ไม่ดีในเส้นเลือด (ลด L.D.L.)

- ป้องกันเส้นเลือดแดงแข็งตัว

- ป้องกันโรคหัวใจ

- ป้องกันความดันต่ำ

- ป้องกันอาการน้ำตาลในเลือดต่ำ

- ป้องกันโรคอ้วน (ช่วยลดน้ำหนัก)

- ป้องกันโรคข้อเสื่อม

- ป้องกันโรคกระดูกผุ

- ป้องกันโรคภูมิแพ้

- ป้องกันการเกิดโรคนิ่วในไต

- ป้องกันอาการไข้ (ไข้ระดับต่ำ)

- ป้องกันโรคพาร์กินสัน (โรคเกี่ยวกับระบบประสาทที่ทำให้สั่น)

- ป้องกันอาการท้องร่วง

- ป้องกันอาการปวดในระบบประสาท

- ป้องกันอาการเวียนศรีษะ

- ป้องกันโรคตัวหิน (โรคตาที่เกิดจากความดันสูงในกระบอกตาและทำให้ตาบอดในที่สุด)

- ป้องกันอาการตามัว (เกิดความผิดปกติที่เลนส์ในดวงตา)

- ป้องกันโรคเหงือก

ที่มา:http://www.otopnetwork.com/index.php?option=com_content&task=view&id=45&Itemid=70

 

ขอบคุณข้อมูลจาก .. http://www.vcharkarn.com/vblog/48530

ถูกแก้ไข โดย moddang..

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

อ่านเรื่องเปลือกมังคุดอย่างตั้งใจเพื่อที่จะหาว่าแล้วจะเอามาใช้ยังไง.....ไม่ยักเจอแฮะ

แสดงว่าต้องรอเขาสกัดแล้วซื้อมากินละมั้ง wub.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

อ่านเรื่องเปลือกมังคุดอย่างตั้งใจเพื่อที่จะหาว่าแล้วจะเอามาใช้ยังไง.....ไม่ยักเจอแฮะ

แสดงว่าต้องรอเขาสกัดแล้วซื้อมากินละมั้ง wub.gif

 

สวัสดีค่ะ คุณหมอเล็ก :wub: :lol: :rolleyes:

 

ขอบคุณที่สนใจ....มะคืนมดแดงก็หาอยู่ ยังไม่พบค่ะ

 

แต่.. พบด้านวิชาการที่ http://www.medplant.mahidol.ac.th/pubhealth/garcinia.html

 

แต่ยังไม่อยากเอามาให้อ่านเพราะเกรงว่าจะมากไป รอให้อ่านกันซักพัก จะเอามาแปะให้ ที่ผ่านมา มดแดงก็อ่านข้อมูลว่าดีแยะ ก็ซื้อที่สกัดมากินบ้าง ก็แพงอยู่ แต่ก็เคยได้ยินทางสาธารณสุขออกมาปรามๆ (อยู่เรื่อยๆ จนน่าเบื่อ) มดแดงคิดว่าข้อมูลที่ขึ้นเว็บ มันต้องมีที่มาที่ไป ไม่ใช่โม้ไปเรื่อย ต้องบอกว่ามดแดงมีประสบการณ์การใช้บ้าง เพราะแม่ชอบใช้ เลาที่เป็นผื่น แผล ทายาแผนปัจจุบัน ไม่หายซักกะที ก็เอามาฝนกับน้ำปูนทาแผลก็โอเค แต่เมื่อเร็ว ๆนี้ ได้อ่านหนังสือหมอเขียวเล่ม 1 ( ตอนนี้ไม่มี เพราะให้เขาไปแล้ว ยังไม่ได้ไปซื้อมาอีก) จากประสบการณ์ การใช้กับคนไข้ท้องเสีย จำไม่ได้ในวิธีการ เพราะคุณหมอใช้หลายอย่าง แต่มะคืนท้องเสียถ่ายเป็นน้ำ ครั้งนึง แต่ก่อนหน้านั้นปวดท้อง และถ่าย 2ครั้งปกติ (กินหลายอย่าง น้ำพริก และน้ำตาลสดซึ่งมันออกเปรี้ยวและซื้อมา 2วันแล้ว เลยไม่รู้ตัวไหนทำพิษ) เลยเอาเปลือกสด ขยี้กับน้ำ หายปวดท้อง และไม่ถ่ายอีกตั้งแต่ตี 3 เลยเช้ามากินต่อจนเดี๋ยวนี้ ที่ใช้มังคุด เพราะปกติจะกินฟ้าทะลายโจร แต่มะคืนหาไม่พบ ยาผงถ่านก็ไม่อยากกิน ( ultra carbon ) ขอเป็นหนูทดลองยา

 

เพิ่มเติมค่ะ

 

สารสกัดจากเปลือกมังคุด

 

ผลงานของนักวิจัยไทยครับ

 

ปัจจุบันการวิจัยพืชผักผลไม้ในเมืองไทย เรามีการทำกันอย่างจริงจัง มีการต่อยอดงานวิจัยเดิมสู่งานวิจัยใหม่อย่างหลากหลายกลายเป็นผลิตภัณฑ์ สร้างงานสร้างอาชีพได้มากมาย ซึ่งสำหรับ“ผลไม้”นั้นกับ“มังคุด” กับงานวิจัยใหม่ๆ ก็ยิ่งทำให้ทราบว่านี่มิใช่เพียงผลไม้ที่ได้ชื่อว่าเป็น “ราชินีแห่งผลไม้” เท่านั้น

 

ล่า สุดมีข่าวว่าทีมวิจัยซึ่งประกอบด้วย... รศ.ดร.วิลาวัลย์ มหาบุษราคัม ภญ.รศ.ดร.เสาวลักษณ์ พงษ์ไพจิตร คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, ภญ.รศ.ดร.อำไพ ปั้นทอง, รศ.ดร.ปรัชญา คงทวีเลิศ, ผศ.ดร.ศิริวรรณ วงศ์ไชย คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา นักวิจัยหนึ่งในผู้ก่อตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนามังคุดไทย ได้ทำวิจัยต่อยอดเชิงประยุกต์ผลการวิจัยสรรพคุณของผลไม้ รวมถึงมังคุดและธัญพืชหลายชนิดภายใต้ ปฏิบัติการสร้างภูมิคุ้มกันสมดุล “OPERATION BIM”

 

 

BIM คือบาลานซิ่ง อิมมูน (Balancing Immune) โดยมีการวิจัยสรรพคุณของผลไม้มังคุดและธัญพืชต่างๆ แล้วนำมาผสมกันเพื่อให้เกิดการเสริมประสิทธิภาพ จนได้สารอาหารที่ปลอดภัยและไร้ผลข้างเคียง คณะนักวิจัยได้ใช้ศาสตร์ของการเสริมฤทธิ์นำสารธรรมชาติจากผลไม้และธัญพืช หลากชนิดผสมกับสารสกัด GM-1 สารที่มีอยู่ในผลมังคุด จนค้นพบสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ ที่ช่วยปรับภูมิคุ้มกันร่างกายให้สมดุลได้

 

ที่ทราบมาคือได้มีการพัฒนางานวิจัยนี้สู่ผลิตภัณฑ์สุขภาพในรูปของแคปซูล สารสกัด อีกทั้งคณะนักวิจัยยังได้ใช้ความรู้จากปริมาณสารสกัดที่มีอยู่ในแคปซูลเป็น หลักในการผลิตน้ำมังคุดสกัดเข้มข้นที่ไม่มีการเติมสีสังเคราะห์ ไม่ใส่น้ำตาล ไม่มีสารกันบูด ไม่แต่งกลิ่นด้วยสารเคมี ไม่มีส่วนเปลือกมังคุดซึ่งอาจปนเปื้อนยาฆ่าแมลง และไม่มีแทนนินสีน้ำตาลจากเปลือกมังคุดในปริมาณมากจนเกิดผลข้างเคียง ซึ่งก็สามารถช่วยปรับระดับภูมิคุ้มกันในร่างกายให้สมดุลได้เช่นเดียวกับ สารสกัดสูตรที่ได้จากปฏิบัติการ BIM

 

การที่ร่างกาย ปรับระดับภูมิคุ้มกันให้สมดุลอยู่ตลอดเวลานั้น เมื่อภูมิคุ้มกันอยู่ในระดับที่ไม่น้อยเกินไปก็ไม่เสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือ ได้รับผลกระทบจากสิ่งแปลกปลอมง่ายๆ และเมื่อภูมิคุ้มกันไม่อยู่ในระดับที่มากเกินไป ร่างกายก็จะไม่เกิดอาการผิดปกติหรือเกิดการแพ้ภูมิตัวเอง ซึ่งโดยสรุปแล้วการที่ร่างกายปรับระดับภูมิคุ้มกันได้สมดุลก็จะช่วยป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บต่างๆได้ ดังนั้นงานวิจัยดังกล่าวนี้จึงน่าสนใจทีเดียว

 

ทั้งนี้ข่าวคราวงานวิจัยลักษณะนี้ในด้านหนึ่งถือเป็นชื่อเสียงความสำเร็จ ของนักวิจัยไทย-ประเทศไทยกับวิทยาการเชิงสุขภาพซึ่งจะมีการต่อยอดไปอย่างไร ก็ว่ากันไป แต่ในอีกด้านหนึ่งเมื่อมีข่าวปรากฏออกมา นี่ก็จะช่วยส่งเสริมให้สิ่งที่ถูกวิจัยซึ่งในที่นี้คือ “ผลไม้” คือ “มังคุด” มีความโดดเด่นมากขึ้น และหากใครจับกระแส-จับจุดนี้ไปปรับใช้ในเชิงอาชีพที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่มี การวิจัยได้ ก็ย่อมจะเป็นประโยชน์เป็นผลดีต่อเนื่อง...

 

จาก “ผลไม้” ที่ปัจจุบันเป็นยิ่งกว่า “ผลไม้”

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์ ฉบับที่ 21,591 วันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

 

ขอบคุณ คุณกระต่ายดำ..http://www.bansuanporpeang.com/node/2353

ถูกแก้ไข โดย moddang..

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวัสดีค่ะ คุณหมอเล็ก :wub: :lol: :rolleyes:

 

ขอบคุณที่สนใจ....มะคืนมดแดงก็หาอยู่ ยังไม่พบค่ะ

 

มันน่าสงสัยอยู่อย่างนึงครับ คุณสมบัติต่างๆที่ว่ามานั้นโดยเฉพาะการเป็น antioxidant มันจะยังคงอยู่หรือเปล่าเมื่อตากแห้งแล้ว

สารฝาด(tannin)ยังอยู่แน่ๆ แต่ตัวอื่นไม่รู้ แบบนี้ถ้าเราเอาเปลือกชั้นในมากินสดๆเล็กน้อยเล่นๆก็น่าจะยังพอมีประโยชน์บ้าง

 

แหะๆอะไรๆก็ตามมักพูดถึงแต่ประโยชน์ด้านเดียว ควรระวังไว้เหมือนกันนะครับ กินมากๆก็อาจมีโทษได้เหมือนกัน(ที่ยังค้นไม่พบ) ให้กินหมุนเวียนไปจะดีกว่าcool.gif

 

 

 

 

 

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณคุณมดแดงมากนะคะที่ให้สาระดีๆค่ะ ทางใต้มังคุดเยอะค่ะ แฮ่ะๆ ได้แต่ทานเนื้อข้างในอย่างเดียว ถ้าในภาครัฐเราสนับสนุนการใช้ประโยชน์อย่างจริงจังคงประหยัดเงินตราแถมชาวสวนคงมีความสุขกันอีกเยอะ :rolleyes: :rolleyes:

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ดูแลผิวหน้าด้วยฝรั่ง

 

ข้อมูลจากหนังสือ อยู่ดีวิถีชาวบ้าน

 

guava.jpg

 

รั่ง เป็นผลไม้ที่ดีมีคุณค่าทางโภชนการที่ดีมากอย่างหนึ่ง คนเราส่วนใหญ่มักใช้ประโยชน์จากฝรั่งด้วยการนำมากินเท่านั้น แต่คุณเชื่อหรือไม่ว่าจริงแล้ว ๆ แล้วเราสามารถใช้ประโยชน์จากฝรั่งได้มากกว่าการกิน เพราะนอกจากเราจะกินมันอร่อยแล้วเรายังสามารถเอาฝรั่งมารักษาสิวและผิวหน้า ของเราให้เกลี้ยงเกลาได้อีกด้วย

 

วิธีการที่ว่าก็คือ เอาเนื้อฝรั่งมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่ลงไปในเครื่องปั่นไฟฟ้า ใส่น้ำสะอาดลงไปเล็กน้อย ปั่นให้ละเอียด แล้วนำไปใช้ได้ ( หากเก็บใส่ขวดแช่ตู้เย็นจะเอาเก็บไว้ใช้ได้นาน ๆ )

 

สำหรับวิธีการใช้ก็ไม่ยากเลย ล้างหน้าให้สะอาดด้วยน้ำธรรมดาเสียก่อน แล้วนำเอาเนื้อฝรั่งที่ปั่นละเอียดแล้วมาพอก ทา ให้ทั่วทั้งใบหน้า ปล่อยทิ้งเอาไว้สัก 10 นาที หลังจากนั้นก็ล้างออกด้วยน้ำธรรมดา

 

เราจะสังเกตได้ทันทีว่า ผิวหน้าที่ได้รับการพอก ทา ด้วยเนื้อฝรั่งจะมีความเกลี้ยงเกลา และรู้สึกเต่งตึง สดชื่น ได้ทันที

 

ให้ทำอย่างนี้สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ผิวหน้าของเราก็จะมองดูสดใสและนวลเนียนดีมาก ไม่ต้องไปหาซื้อครีมบำรุงผิวราคาแพงมาพอกหน้า หรือทาหน้าเลย

 

690736hg1i7qg29i.gif

ถูกแก้ไข โดย moddang..

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

มะเร็ง-รักษาแบบบัลวี มีสิทธิ์หาย VCD แจกจ่ายเพื่อการกุศล

 

นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล

 

cancer.jpg

 

 

หลังจากทำ CD ดุริยมนตรา หรือที่เรียกกันว่า เพลงมนต์รักษาโรค ขึ้นมาชุดหนึ่ง ซึ่งเป็นเสียงสวดมนต์ของ อ.พระดร.สิงห์ทน นราสโภ และบรรเลงดนตรีประกอบโดย อ.แนบ โสตถิพันธุ์ ปรากฏมีผู้สนใจจำนวนมาก มาขอรับไปเพื่อใช้ฟังในขณะทำสมาธิบำบัดโรค บ้างก็ใช้ฟังเพื่อปฏิบัติธรรม

 

มาคราวนี้ผมและหมอลลิตาได้บรรจงผลิต VCD ขึ้นอีกชุดหนึ่ง ชื่อว่า มะเร็งรักษาแบบบัลวีมีสิทธิ์หาย เป็นการรวบรวมประสบการณ์ 30 ปีของเรา ที่เรียนรู้ธรรมชาติบำบัดทีละอย่าง จนสังเคราะห์เป็นองค์ความรู้ที่เอามารักษามะเร็งแบบองค์รวม เกิดผลในการรักษาทั้งในการเพิ่มคุณภาพชีวิตให้ผู้ป่วยมะเร็ง ยืดอายุให้ยาวออกไปจากที่ถูกทำนายไว้โดยแพทย์ในโรงพยาบาล และบางคนก็หายดีอย่างน่าประหลาดใจ

 

ใน VCD ชุดนี้นับว่ามีสีสันยิ่ง มีการเปิดใจของบุคคลเด่นๆที่เรารักษาแล้วได้ผล นอกจากอ.แนบจะเผยเคล็ดลับการรักษามะเร็งของท่านเองแล้ว ยังมีแพทย์ นักธุรกิจ อาจารย์มหาวิทยาลัยที่มีประสบการณ์

 

สมัยนี้แพทย์เองก็เป็นมะเร็งได้นะครับ

 

ใน VCD ชุดนี้มีแพทย์ผู้ 2 ท่านที่มารับการรักษาที่บัลวี ท่านหนึ่งเป็นแพทย์รุ่นน้องที่รู้จักกันสนิทและมีความเข้าใจในการแพทย์แบบ ผสมผสานมาตั้งแต่แรก เมื่อเธอเป็นมะเร็งขึ้นมาซะเอง ก็มาให้รักษาอย่างพี่อย่างน้อง ซึ่งก็เป็นความภูมิใจของผมที่มีโอกาสได้ดูแลแพทย์รุ่นน้องผู้นี้

 

มีแพทย์อยู่อีกท่านหนึ่ง ซึ่งผมรู้จักตั้งแต่เมื่อ 30 ปีที่แล้วและก็ไม่ได้พบกันอีกเลย เขาทำงานราชการจนเป็นตำแหน่งใหญ่โต ทั้งใกล้ชิดนักการเมือง แต่เพราะความเครียดและการแก่งแย่งแข่งขันในชีวิตนั้นแหละ สุดท้ายก็พบว่าตัวเองเป็นมะเร็งปอดที่กินไปถึงชายปอดแล้ว จึงเดินเข้ามาหาผมที่บัลวี พร้อมกับพูดว่า "เพื่อนเอ๋ย เราเป็นมะเร็งแล้ว จะมาให้นายช่วยรักษา"

 

เขามาขอเข้าคอร์สที่บัลวี ครับ

 

แรกทีเดียวผมก็แปลกใจอยู่ว่า เป็นแพทย์ระดับบริหาร ซึ่งปกติมักถือว่าอะไรที่อยู่นอกตำราที่ตนเรียนมา ก็เป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อถือ นี่จะมาลองภูมิกันหรืออย่างไร แต่ดูตามน้ำเสียงแล้ว เขาก็พูดด้วยคำหวาน น่าจะเป็นความจริงใจ และอีกประการหนึ่งก็เคยทำงานร่วมกันมาตั้งแต่สมัยเป็นอินเทอร์น ขึ้นชื่อว่าเป็นเพื่อนกันแล้ว ก็ต้องช่วยกันให้ถึงที่สุด ผมจึงทุ่มเทสติปัญญาเท่าที่มีรักษาให้เขา สำหรับค่าคอร์สนั้นผมไม่คิด เพียงแต่บอกว่า "นายเพียงแต่ช่วยออกต้นทุนค่าอาหารให้บัลวีก็แล้วกัน" และค่าวิตามินที่จำเป็นต้องใช้ถ้าจะซื้อจากบัลวีก็ลดให้ ผมเชื่อในคำสอนทางศาสนาว่า คนเราเมื่อเกิดมาชาติหนึ่งๆ ที่จะได้มาพบกันไม่ว่าจะเป็นเครือญาติ หรือเป็นเพื่อนร่วมงาน ย่อมต้องเคยทำกรรมร่วมกันมาก่อน

 

เป็น ที่น่าสรรเสริญว่า เขาเป็นคนที่ตั้งใจจริง ปฏิบัติทุกอย่างที่ผมแนะนำ พร้อมๆกันนั้นผมก็สนับสนุนให้รักษาด้วยการแพทย์แบบแผนควบคู่กันไปด้วย ยามใดที่ไปให้เคมีบำบัดมาแล้ว มี อาการตกต่ำทั้งกายและใจ ตกต่ำทางกายหมายความว่า เม็ดเลือดขาวต่ำเพราะเคมีบำบัด ตกต่ำทางใจหมายถึงภาวะจิตตก เนื่องเพราะความหวั่นไหวในสถานการณ์ป่วยเจ็บของตนเอง ซึ่งเป็นเรื่องน่าเห็นใจสำหรับผู้ป่วยมะเร็งเกือบทุกคน ผมและหมอลลิตาจะใช้สรรพวิธีมาร่วมรักษา

 

เราให้ตั้งแต่วิตามินระดับสูง การแนะนำให้สวนกาแฟ ใช้สมุนไพรอีกบางตัวที่ช่วยประคองระดับของเม็ดเลือดขาว แนะนำการสวดมนต์ กระทั่งการโปรแกรมจิตใต้สำนึก

 

จากการรักษาผู้ป่วยระดับที่เป็นแพทย์ด้วยกัน ซึ่งไม่เฉพาะเพื่อนแพทย์คนนี้ ยังมีแพทย์รุ่นน้องอีกผมรู้เลยว่า เราจะต้องใช้ มิเพียงประสบการณ์ทางธรรมชาติบำบัดที่เรามีมาช้านาน มาอธิบายต่อพวกเขาอย่างมีหลักวิชาที่สมเหตุสมผลเท่านั้น เราจะต้องใช้กระทั่งอำนาจจิตที่มีเหนือกว่า ไปโน้มนำให้เขาผู้กำลังมีภาวะจิตตก มองอะไรในทางที่มืดมน ให้มีภาวะอารมณ์ที่สว่างไสวขึ้นอีกด้วย

 

อำนาจ จิตที่แพทย์ผู้รักษาพึงมีต่อใครก็ตามที่ตนกำลังรักษาอยู่นั้น ไม่ใช่อื่นใกล้ แต่เป็นอำนาจของเมตตาธรรม ในพรหมวิหารสี่ซึ่งควรถือเป็นธรรมะอันสูงสุดที่แพทย์พึงมีต่อผู้ป่วย เมตตา คือรักใคร่ ปรารถนาดีอยากให้เขามีความสุข กรุณาคือคิดช่วยให้เขาพ้นทุกข์ มุทิตาคือยินดีในเมื่อเขาอยู่ดีมีสุข และอุเบกขา คือรู้จักวางเฉย สงบใจมองดู ในเมื่อไม่มีกิจที่ควรทำแล้ว เพราะเขารับผิดชอบตนได้ดีแล้ว เขาสมควรรับผิดชอบตนเอง หรือเขาควรได้รับผลอันสมกับความรับผิดชอบของตน

 

อำนาจ ธรรมทั้งสี่ข้อนี้ ผมเรียนรู้ว่า ถ้าแพทย์ผู้รักษาดำรงตนในธรรมะนี้ได้ จะสามารถเอื้อให้แก่ผู้ป่วยที่ตนรักษามีสภาพที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จนผมได้อธิบายไว้ใน VCD ชุดนี้ด้วยว่า "คนเราประกอบด้วยเซลล์และคลื่นชีวิต เปรียบเหมือนส้อมเสียง ผู้เจ็บป่วยเป็นส้อมเสียงที่คลื่นชีวิตในตัวต่ำมาก เราสามารถทำให้ส้อมเสียงนั้นสั่นสะเทือนแรงขึ้น โดยใช้ส้อมเสียงอีกอันหนึ่งที่มีการสั่นสะเทือนแรงกว่าเข้าไปเหนี่ยวนำ การรักษามะเร็งแพทย์แบบแผนอาจให้ยาหรือรังสี ซึ่งเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คลื่นชีวิตในตัวผู้ป่วยอ่อนลงไปด้วย การรักษาทางธรรมชาติบำบัดจะเสริมรักษาให้ผู้ป่วย ไม่เพียงด้วยอาหารและการออกกำลังกาย ซึ่งเป็นเรื่องเฉพาะทางกายเนื้อ แต่ต้องเข้าไปเสริมรักษาพลังชีวิตให้กับผู้ป่วยด้วย"

 

ผมจึงสรุปได้ว่า "แพทย์ธรรมชาติบำบัดผู้รักษาเปรียบเสมือนส้อมเสียงอีกอันหนึ่ง ถ้าสามารถเข้าไปส่งคลื่นเหนี่ยวนำส้อมเสียงที่คลื่นสั่นสะเทือนต่ำมากอยู่นั้นได้ ก็อาจช่วยให้ส้อมเสียงคู่นั้นเกิดคลื่นสั่นสะเทือนที่แรงขึ้น และส่งเสียงกังวาลต่อไปได้"

 

ด้วยเหตุนี้แพทย์ธรรมชาติบำบัดที่จะรักษามะเร็งให้ผู้ป่วย จึงต้องเป็นแพทย์ผู้มีสุขภาพดีเป็นทุนเดิมอยู่ และเป็นแพทย์ที่มีคลื่นชีวิตดีด้วย ต้องมีพรหมวิหารธรรมและใช้ธรรมดังกล่าวส่งอานุภาพการบำบัดรักษาทางคลื่นชีวิตให้กับผู้ป่วยได้อีกด้วย ไม่ว่าด้วยการสอนให้ผู้ป่วยทำสมาธิ ส่งเสริมให้สวดมนต์ กระทั่งใช้การโปรแกรมจิตโดยตรงแก่ผู้ป่วยแต่ละราย จึงจะช่วยผู้ป่วยได้

 

พูดง่ายๆว่า แพทย์กับผู้ป่วยต้องถึงขั้นที่ว่า สัมผัสกันระหว่างจิตต่อจิต แล้วใช้จิตของเราที่บริสุทธิ์และมีพลังชีวิตมากกว่า ช่วยเหนี่ยวนำจิตให้ผู้ป่วย และวันใดก็ตามจิตของแพทย์ผู้รักษา ถ้ามีความขุ่นมัวหรือคับข้อง มีกิเลสรบกวน ก็มักมีผลด้านลบต่อผู้ป่วยได้ด้วย

 

ด้วยเหตุนี้ แพทย์ธรรมชาติบำบัดที่บัลวีทุกคน ผมจึงส่งไปปฏิบัติวิปัสสนาเพื่อขัดเกลากิเลสเป็นบางระยะ และรับเอาธรรมะมาชี้นำชีวิต จึงจะปล่อยให้รักษาผู้ป่วยได้

 

น่าดีใจในเบื้องต้นว่า แพทย์ที่ผมมีส่วนช่วยรักษามะเร็งให้ทั้งสองคน สามารถอยู่รอดด้วยอายุอันยาวนาน ทั้งสองยังได้ขึ้นเวทีเป็นผู้ป่วยตัวอย่างให้กับเรา เมื่อตอนที่จัดมหกรรมธรรมชาติบำบัดสัญจรที่โคราช แพทย์รุ่นน้องบอกว่า "ตั้งแต่เดิม ดิฉันไม่รู้จักเรื่องราวของศาสนา สวดมนต์ก็ไม่เป็น แต่ปัจจุบันนี้ดิฉันได้หันเหชีวิตเข้าหาธรรมะ จนกระทั่งได้รับเชิญเป็นวิทยากรให้กับสำนักวิปัสสนาอีกด้วย" เธอมีชีวิตอยู่ในท่ามกลางความรักและความอบอุ่น

 

แพทย์ อีกผู้หนึ่ง ก้อนมะเร็งเพิ่งยุบลงได้สัก 2 ปี ซึ่งเป็นชัยชนะขั้นต้น ทั้งๆที่ตนเองก็รู้ว่านั่นเป็นชัยชนะชั่วคราว "ผมรู้ว่า ถ้าเมื่อไหร่ผมหันไปรักษาผู้ป่วย ตอนนั้นมะเร็งของผมมีหวังกำเริบ" เขากล่าว แต่คงด้วยความอยากรักษามะเร็งให้ผู้อื่น ปัจจุบันเขาจึงหันมาประกอบอาชีพรักษามะเร็งด้วยธรรมชาติบำบัด ผมก็ได้แต่เอาใจช่วยเขาด้วยอุเบกขาธรรม

 

ยังมีคุณต่อ พี่ใหญ่ผู้หนึ่งในวงการเรียลเอสเตท ก็เป็นอีกผู้หนึ่ง ต่อชีวิต ซึ่งถูกคาดคะเนว่าอยู่ได้ไม่เกิน 6 เดือน เขาหันเหชีวิตแบบ 180 องศา ปัจจุบันนี้เขา ต่ออายุ มาได้ 4 ปีกว่าแล้ว จนหลานกำลังโด่งดังกับปาท่องโก๋ไฮโซที่กินได้ ไม่เสี่ยงมะเร็ง เพราะไม่ใช้น้ำมันทอดซ้ำ

 

VCD ชุดนี้จึงนับว่ามีสีสันอย่างยิ่ง ซึ่งเราไม่วางจำหน่าย ท่านผู้สนใจสามารถที่จะรับ VCD มะเร็งรักษาแบบบัลวี....มีสิทธิ์หาย และร่วมสมทบทุนเข้ากองทุนดุริยมนตรา โดยโอนเงินเข้าไปที่บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ 1464011525 ธนาคารกรุงเทพ สาขาราชวัตร ชื่อบัญชี นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล และพญ.ณัฏฐา ชุณหสวัสดิกุล เพื่อกองทุนดุริยมนตรา ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พร้อมทั้งแฟกซ์ใบโอนเงินและชื่อ-ที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ที่ต้องการให้ทาง ศูนย์ธรรมชาติบำบัดบัลวีจัดส่งไปให้มาที่หมายเลข 02-279-6943

 

 

 

http://www.balavi.com/content_th/news/N00040.asp

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

" เมนูอาหารห้ามทานตอนท้องว่าง "

 

eating_disorder.jpg

 

บทความนี้วีซ่าขอนำ เรื่อง เมนูอาหารห้ามทานตอนท้องว่าง มาฝากแฟนๆ เลดี้วีซ่ากันค่ะ เพราะบางเมนูอาหารที่เราทานเข้าไปนั้นถึงจะมีประโยชน์ก็จริง แต่ถ้าคุณผู้หญิงเลือกทานไม่ถูกเวลานั้นก็สามารส่งผลเสีย หรืออาจเป็นอันตรายต่อร่างกายของคุณผู้หญิงได้ค่ะ

เรามาดูเมนูแรกกันเลยค่ะ

 

เมนูอาหารห้ามทานตอนท้องว่าง

 

เมนูอาหารห้ามทานตอนท้องว่าง

1. เหล้า

 

เหล้าห้ามดื่มขณะท้องว่าง เนื่องจาก แอลกอฮอล์ที่คุณผู้หญิงดื่มเข้าไปจะไปกัดหรือไปกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร อาจทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบหรือเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้

 

2. ชาแก่ๆ เกินไป

 

เนื่องจากชาทำให้เกิดกรดเกลือในนำ้ย่อย ในกระเพาะอาหาร และยังส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของระบบย่อยอาหารนั้นทำงานลดลง เกิดอาการใจสั่น มีอาการเวียนหัว มือและเท้าไม่มีแรง และจิตใจไม่สงบ

 

3. นมและนมถั่วเหลือง

 

อย่างที่คุณผู้หญิงทราบกันดีค่ะว่า ในนมถั่วเหลืองนั้นอุดมไปด้วยโปรตีน แต่การจะดื่มนมถั่วเหลืองให้ได้ประโยชน์หรือเกิดประสิทธิภาพมากที่สุดนั้น คุณผู้หญิงควรจะทานอาหารจำพวกแป้งหรือคาร์โบไฮเดรตเสียก่อนค่ะ

 

4. น้ำตาล หรือ อาหารประเภทของหวาน

 

คุณผู้หญิงไม่ควรทานอาหารประเภทของหวานหรืออาหารที่มี น้ำตาลเยอะเกินไปขณะที่ท้องว่าง เช่น ลูกอม ช็อกโกแลต น้ำอัดลม เพราะเมื่อทานเข้าไปจะทำให้โปรตีนในร่างกายของคุณผู้หญิงรวมตัวกับน้ำตาล และ ส่งผลต่อการดูดซึมโปรตีนและลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไตของคุณผู้หญิงนั่นเองค่ะ

 

5. กระเทียม

 

หากคุณผู้หญิงทานกระเทียมขณะที่ท้องว่างนานเข้านั้น จะทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารได้รับการกระตุ้นอาจเกิดโรคกระเพาะอาหารอักเสบอย่างรุนแรงได้

 

6. ลูกพลับ

 

ลุกพลับ เป็นหนึ่งในเมนูอาหารที่ไม่ควรรับประทานขณะที่ท้องว่างค่ะ เพราะกระเพาะอาหารจะหลั่งกรดเกลือออกมามาก และถ้าหากเกิดการไปรวมตัวกับยาง และ สารแขวนลอยในลูกพลับแล้ว อาจทำให้คุณผู้หญิงเกิดอาการ เจ็บหน้าอก มีอาการคลื่นไส้ และเป็นแผลในกระเพาะอาหารของคุณผู้หญิงได้ค่ะ

 

7. กล้วย

 

เนื่องจากในกล้วยเต็มไปด้วยธาตุแมกนิเซียม ดังนั้นการรับประทานกล้วยขณะที่ท้องว่าง จะทำให้ปริมาณแมกนิเซียมที่มีในเลือดนั้นสูงมากขึ้น ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียมและแมกนิเซียมที่มีในเลือดและไปยังยั้งการทำ งานของหลอดเลือดหัวใจซึ่งเป็นอันตรายต่ออย่างมากต่อสุขภาพอย่างมากทีเดียว ค่ะ

 

8. ผัก

 

ผักเป็นอาหารที่มีประโยชนืมากๆ แต่ถ้าเลือกทานไม่ถูกเวลาอย่างตอนที่ท้องว่างนั้นก็จะทำให้กระเพาะอาหารเกิดอาการผิดปกติได้ค่ะ

 

ขอทิ้งท้ายไว้เป็นเกล็ดความรู้เล็กๆ น้อยด้วยค่ะ ว่านอกจากนี้ คุณผู้หญิงรู้ หรือไม่ค่ะ ว่า ไม่ควรออกกำลังกายหรืออาบน้ำขณะที่ท้องว่างด้วย เพราะอาจทำให้เกิดอาการช็อกได้เนื่องจากในร่างกายมีน้ำน้ำตาลในเลือดต่ำ

 

อาหารถึงมีประโยขน์มาก แต่บางอย่างก็มีโทษ อันตรายร้ายแรงได้ด้วยเช่นกันหากคุณผู้หญิง เลือกทานไม่ถูกเวลา นานๆ เข้าทำให้ส่งผลเสียต่อร่างกายของคุณผู้หญิงได้ด้วยเช่นเดียวกันค่ะ

 

บทความโดย : Ladavisa.com

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...