ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

3w_goldenSnake_02.jpg

 

ปีใหม่ ปีทอง (New year)

 

สวัสดีปีใหม่ เฮียกัมพล และ สมาชิกไทยโกลด์ ทุกท่านครับ

ปีใหม่นี้ขอให้สบายใจ สบายกายกันทุกท่านนะครับ

 

ไม่รอช้าขอเข้าเรื่องเลยแล้วกันนะครับ บันทึกไว้ก่อนว่าวันนี้

ราคาทองคำอยู่ที่บาทละ ซื้อ 24,250 - ขาย 24,150

 

ในปีที่ผ่านมาทองคำปรับตัวขึ้นเพียง 2.5% ต้องถือว่าเป็นปีที่ไม่สดใสเลย สำหรับทองคำ

ซื้อต่ำสุดของปีนี้ ต่อให้ขายได้จังหวะสูงสุดพอดีก็จะมีกำไรอยู่ประมาณ 10%

 

ต้องถือว่าปีที่ผ่านมา ทองขึ้นต่ำกว่า “ค่าเฉลี่ย” (15-17% ต่อปี) และ เป็นปีแรกที่ทองคำไม่มีราคา New High ในบ้านเรา

ประเด็นหลังผมพอรับได้ เนื่องจากปีก่อนหน้านั้นเป็นปีที่ทองคำพุ่งทะยานไปทำสถิติสูงถึงบาทละ 27,000

 

วันที่ 6 มกราคม 2011 ผมเขียนในกระทู้นี้ไว้ว่า

 

ในปี 2011 นี้ผมขอคาดการณ์แบบ "ถ่อมตัวและกลัวผิด" ว่า

อย่างน้อย เราน่าจะได้เห็น ราคาทองคำที่ระดับ 22,000-23,000 ต่อบาท

 

การคาดเดาของผมในปีนั้น ผมประมาณการเอาจากค่าเฉลี่ย ไม่ได้มีไพ่ทาโร่หรือลูกแก้ววิเศษใดๆทั้งสิ้น

มันคือ “สถิติ” การขึ้นแรงเกินค่าเฉลี่ยถึงเท่าตัวอย่างเร็วและแรง จึงตามมาด้วยการดีดกลับและ “พัก” ในปีถัดมา

 

ก่อนที่เราจะเริ่มต้นปีใหม่ 2013 เราลองถอยมามองย้อนหลังกันซักนิดครับ

 

:excl: ปี 2011 เริ่มต้นที่ 20,300 จบปีด้วย 23,500

 

:excl: ปี 2012 เริ่มต้นที่ 23,500 จบปีด้วย 24,200

 

ผมเคยได้รับเกียรติจากเฮียกัมพล ไปบรรยายในงานสัมมนาของ Thaigold มีตอนหนึ่งผมพูดไว้ว่า

หากคุณไม่เคยลงทุนในทองคำ หากคุณคือมือใหม่ วิธีการลงทุนทองคำที่ง่ายที่สุดคือ

“ซื้อ 1 มกราคม แล้วไปขายวันที่ 31 ธันวาคม ของปีนั้น”

ที่ผ่านมากำไรหมด ระหว่างปีอะไรเกิดขึ้นไม่ต้องไปสนใจ

หากเรามองภาพรวมๆ ดูตามสถิติเก่า ผมขอยืนยันว่า

“ทองคำขึ้นราคาทุกปี เมื่อเรามองปีต่อปี” (ไม่มองรายวันรายชั่วโมง)

 

(Silver เองก็มีภาพรวมเช่นเดียวกัน ผมยังยกให้ Silver จะเป็นการลงทุนที่ดีมาก

จากราคาที่ต่ำเกินจริงแบบนี้)

gold-price-rise-2000-2012.jpg

 

 

แม้มันจะไม่ได้ทำให้เราได้กำไรสูงสุด แต่การลงทุนด้วยเงินและใจที่ “เย็นๆ”

ผลตอบแทนไม่ขี้เหร่ครับ สิ่งที่ยากคือ “อารมณ์” ของเราที่มันแกว่งมาก ตามราคาที่แกว่งตัวรุนแรงระหว่างปี

ข้อมูลที่ให้ ไม่มีใครหลอกใคร ข้อมูลทั้งทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐาน กลั่นกรองกันมาและมีมากมาย ทุกคนได้รับเหมือนกัน

 

ที่แบ่งแยกให้ต่างกัน ระหว่างลงทุนแล้วประสบความสำเร็จกับล้มเหลวคือ “อารมณ์”

หรือจิตวิทยาในการลงทุน บวกเราต้อง บริหารเงิน (Money management) ไม่ลงทุนเกินตัวก็มีผล

เพราะหากเราลงแต่ที่เราพอรับได้ ใจเราก็แกว่งน้อย แต่หากทุ่มเท มากมายเกินกำลัง

 

ใจมันจะแกว่งให้เราเขว

 

ผมเองในอดีต การลงทุนที่ผ่านมา หลายครั้ง “แพ้ใจ” ของตัวเองครับ ... วางแผนดีหมด จัดการดี

ขอแค่ทำตามแผนไปผลลัพธ์ ก็จะดี แต่โดนราคาตลาดเหวี่ยงซะใจแกว่ง จนผิดแผน

จนถึงวันนี้ มีบทเรียน แต่ก็ขอใช้เพียงคำว่า “ค่อยยังชั่ว” ขึ้นเท่านั้น ยังต้องฝึกกันต่อไปครับ

 

ปีนี้ผมไม่ขอตั้งเป้า ส่วนตัวคิดว่าจะมี New high แต่จะมีหรือไม่ ผมปล่อยให้ ทองคำ เขียนประวัติศาสตร์ของมันเองดีกว่า

ผมจะทำตัวเป็นผู้ชมที่ดี ปัจจัยพื้นฐานหลายอย่างล้วนบ่งชี้ว่า ผลจะออกมาเป็นอย่างไร

 

:excl: โอบาม่าและเบนเบอร์นันเก้ ชนะเลือกตั้ง อยู่พร้อมหน้าพร้อมตา

 

:excl: QE3 – QE4 ทยอยอัดฉีดกันเข้ามาตามคาด

 

:excl: เพดานหนี้ทุกครั้งที่ชน มีแต่จะเลื่อนขึ้น เลื่อนขึ้น ไปเรื่อยๆ

 

:excl: สภาพคล่องล้นโลก

 

:excl: การเก็บทองคำ เป็นทุนสำรองจากธนาคารกลางโดยเฉาะในเอเชีย เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

 

 

หลายสาเหตุหลายปัจจัย ชัดเจนมาก จนหลายคนสงสัยว่า เหตุใด ราคาทองคำไม่ขึ้นพรวดพราด ?

ผมคิดว่า ปัจจัยที่เราเห็นมันเหมือน “ไฟเขียว” ตามสี่แยกไฟแดงครับ ไฟเขียวสว่างแล้ว

แต่ใช่ว่าเราจะเคลื่อนตัวไปได้ทันที รถจะค่อยๆทยอยออกตัวไปทีละคันๆ ไล่ไปเรื่อยจนมาถึงคันของเรา

หากไม่ทันไฟเขียวนี้มันก็แค่ชั่วคราวครับ เขียวหน้าผมเชื่อว่าเราก็ได้ไป

 

ใครซื้อทองไว้ก่อนแล้วเหมือนขึ้นมานั่งแช่รอบนรถ มันติดมันหงุดหงิด ที่ไม่ไปซะที แต่ผมว่า

ความเสียหายยังดีกว่า “ไม่ยอมขึ้นรถ” มานั่งรอรถออกกับตกรถ ความเซ็งมันต่างกันมาก

 

ปีที่ผ่านมา ทองคำไปเรื่อยๆเฉื่อยๆ นักลงทุนหน้าใหม่เริ่มเข้าสู่ตลาดในจังหวะที่ราคาลดลง

นักลงทุนบางท่านถือเป็นโอกาสในการทยอยสะสม (Accumulate and Buy the dip)

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งครับว่าปีนี้จะเป็นอย่างไร หากกระทิงทองคำยังมีพลังอยู่ ปีนี้จะเป็นปีที่ดี

ก่อนจบ ขอยกคำพูดของ ดร. นิเวศน์ กูรูทางด้านการลงทุนมาปิดท้ายครับ ดร.เคยบอกว่า

 

“หากปีไหนตลาดไม่ดี มีโอกาสมากที่ปีถัดไปจะดี หากมันยังไม่ดีอีก ปีถัดไปยิ่งมีโอกาสที่มันจะดีมากขึ้นอีก

หากมันยังไม่ดีอีก ก็ปีถัดไป” (ฮา)

 

คำพูดนี้เหมือนพูดกำปั้นทุบดิน ฟังขำๆ แต่มันแฝงความลุ่มลึก

 

บอกถึงการมองภาพรวมของตลาด ไม่ใส่ใจสิ่งเล็กๆน้อยๆ

บอกถึงการเป็นนักลงทุนระยะยาว ที่อดทนรอได้ หากเชื่อมั่นในสิ่งที่ลงทุน

 

ปีที่แล้วไม่ใช่โอกาสของทองคำ หวังใจว่าปีนี้ โอกาสทอง (จริงๆ) จะกลับมาครับ

 

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

 

ขอพูดถึงกระทู้หน่อยนะครับ ขอบพระคุณทุกท่านมากที่นำข้อมูลมาแบ่งปัน

ทั้งคุณส้มโอมือ คุณหมอเล็ก คุณ wgc และอีกหลายท่านที่ไม่ได้กล่าวถึง

กระทู้นี้ดีกว่าตอนที่ผมเคยเข้ามาเขียนเสียอีก ข้อมูลมากกว่าเดิมเยอะเลยเพราะหลายท่านช่วยกัน

 

ขอบพระคุณที่รักษากระทู้นี้ไว้ให้เพื่อนนักลงทุน รวมถึงตัวผมเองด้วยได้เรียนรู้

รวมถึงทุกท่านที่เข้ามาโพสพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้วยนะครับ

 

สิ่งนี้ทำให้กระทู้มีชีวิตชีวาอยู่โดยตลอด

 

ผมเองคงไม่เข้ามาบ่อยเหมือนแต่ก่อน ต้องขออภัยด้วย แต่หากมีอะไรน่าสนใจก็จะเข้ามาแชร์และพูดคุยกันครับ

ในเรื่องของการลงทุน ส่วนตัวผมเริ่มติดตามและอินน้อยลง พยายามจัดการให้ลงตัว แล้วรอให้มัน Play out ออกมาเท่านั้น

สิ่งที่ท้าทายผมในปีใหม่ที่มาถึงคือการ “พัฒนาตนเองไปสู่ความง่าย และการพึ่งพาตนเองให้ได้”

สมกับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์มากกว่า (เพราะตรงนั้นผมด้อยมาก)

 

 

สบายๆพูดคุยกันเท่านี้ก่อน

โชคดีมีความสุขในการลงทุน ทุกท่านนะครับ :_087 :_087

 

 

 

ชอบประโยคนี้มากๆคะ"พัฒนาตนเองไปสู่ความง่ายและการพึ่งพาตนเองให้ได้ สมกับที่เกิดมาเป็นมนุษย์"เตือนสติดีคะ จะท่องไว้ใช้กับทุกๆเรื่อง ขอบคุณมากมายคะ

ถูกแก้ไข โดย หมาน้อย

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ไม่ได้เห็นคุณเน็กซะนาน สวัดดีปีใหม่ครับ

 

รวมถึงอีกหลายท่านที่ช่วยกันรักษากระทู้นี้ไว้ให้มนุษย์ล่องหนแบบผมยังได้มีที่อัพเดทข้อมูลใหม่ๆ เสมออย่างคุณ คุณส้มโอมือ คุณหมอเล็ก คุณ wgc ที่คอยเอาข่าวมาฝากเสมอครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณครับ

อ่านแล้ว รู้สึกคุณเน็กซ์ เย็น ลงเยอะเลย หากพบเจอสิ่งดีๆ อนุโมทนาด้วยนะครับ

 

ขอเอาคำกล่าวของ เบน เกรแฮมมาแจม คำกล่าวนี้โดนผมมาก

 

นักลงทุนที่ยอมให้ตัวเองถูกบดขยี้หรือวิตกอย่างไม่สมควรจากการตกอย่างไม่มีเหตุผลเพียงพอของตลาด

การลงทุนของเขากำลังแปรความได้เปรียบพื้นฐานของเขาเป็นความเสียเปรียบอย่างไม่มีเหตุผล

จะดีกว่าถ้าหุ้นของเขาจะไม่มีการซื้อขายในตลาดเลย

เพราะเขาจะไม่ถูกทำให้เจ็บปวดทางจิตใจจากการตัดสินใจที่ผิดพลาดของคนอื่น

 

(คำกล่าวนี้มาจากนักลงทุนแนว vi อาจไม่สอดคล้องกับแนวคิดอื่นนะครับ)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

......

ผมเองคงไม่เข้ามาบ่อยเหมือนแต่ก่อน ต้องขออภัยด้วย แต่หากมีอะไรน่าสนใจก็จะเข้ามาแชร์และพูดคุยกันครับ

ในเรื่องของการลงทุน ส่วนตัวผมเริ่มติดตามและอินน้อยลง พยายามจัดการให้ลงตัว แล้วรอให้มัน Play out ออกมาเท่านั้น

สิ่งที่ท้าทายผมในปีใหม่ที่มาถึงคือการ “พัฒนาตนเองไปสู่ความง่าย และการพึ่งพาตนเองให้ได้”

สมกับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์มากกว่า (เพราะตรงนั้นผมด้อยมาก)

......

 

สวัสดีปีใหม่ครับคุณ next ดีใจที่คุณ next กลับมาเยี่ยมบ้านที่คุณ next สร้างไว้เมื่อสองปีก่อน

นอกจากกระทู้นี้ และหนังสือที่คุณ next เขียน จะช่วยเปิดโลกให้ผม และเพื่อนสมาชิกในเวบแล้ว

ยังช่วยเปิดโลกให้คนรอบข้างผมอีกหลายคนทีเดียว

 

ขอให้เป้าหมายปีใหม่นี้ ประสบผลตามหวังครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวัสดีปีใหม่ค่ะ คุณส้มโอมือ คุณหมอเล็ก คุณwcg คุณเน็กซ์ และทุกๆท่าน

ขอให้ทุกท่านมีความสุข สุขภาพแข็งแรงมากๆนะคะ

ขอบคุณมากๆค่ะสำหรับน้ำใจมากมายที่ท่านแบ่งปันมาเสมอ

:01

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

มันคุ้นๆยังไงชอบกล...ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย ลืมๆมันไปก็แล้วกัน :_ee

 

 

Chart Of The Day: Europe's Resolution To Unpaid Bills? Ignore Them

 

instead of paying their outstanding bills, Europe's insolvent nations are simply not paying them.

 

http://www.zerohedge...lls-ignore-them

 

Unpaid%20Bills.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สิ่งที่เมกาทำคือเตะถ่วงไปอีก 2 เดือน

FISCAL CLIFF CAN KICKED 2 MONTHS DOWN THE ROAD, ALL SPENDING CUTS POSTPONED

 

รูปบนนี่ตอนมันเริ่มเตะ ส่วนปัจจุบันนี่คือรูปล่าง หุหุ

 

clip_image003_thumb.jpg

ถูกแก้ไข โดย MOR LEK

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

มันคุ้นๆยังไงชอบกล...ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย ลืมๆมันไปก็แล้วกัน :_ee

 

ฟังคำนี้แล้วนึกภาพตอนเกมจบไม่ออก

ถ้ามองระดับใหญ่ๆแล้ว เจ้าของสกุลเงินที่ชักดาบ เช่น ลุงแซม (ไม่ใช่ประชาชนของแกนะ)

จะเป็นคนที่ได้เปรียบที่สุด เพราะเอากระดาษไปแลกสินทรัพย์ที่แท้จริงเข้าประเทศมหาศาล

กำไรเนื้อๆ

 

ชาวมะกันคงลำบาก แต่ในระดับเจ้าของประเทศ คงอิ่มพุงกางเลยทีเดียว

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

รัฐบาลอินเดียตอนนี้กำลังกังวลเรื่องการขาดดุลของอินเดียที่เกิดขึ้นจากการนำเข้าทองคำแท่ง

(อินเดียเพิ่มภาษีนำเข้าจากร้อยละ ๒ เป็นร้อยละ ๔ เมื่อปีที่ผ่านมา)

 

รมต.คลังของอินเดียออกมาบอกว่า

อุปสงค์ทองคำจะต้องอยู่ในระดับที่พอดีๆ เราอาจจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำให้การนำเข้าทองคำมีต้นทุนสูงกว่านี้

 

ที่มา : http://www.zerohedge.com/news/2013-01-02/india-finmin-demand-gold-must-be-moderated

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เก็บภาษี-ตัดรายจ่าย-จัดการหนี้ ไม่จบ โลกลุ้นต่อ ผาการคลังมะกัน

 

A1619ED66C054EBA884D9B83DCEF5351.jpg

 

 

ถือเป็นของขวัญต้อนรับปีใหม่ที่สมใจและถูกใจนักลงทุนทั่วโลก รวมถึงประชาชนและผู้ประกอบการในสหรัฐไม่น้อย

โดย...นงลักษณ์ อัจนปัญญา

เพราะหลังจากฉลองนับถอยหลังเข้าสู่ปีใหม่เพียงไม่กี่ชั่วโมง วุฒิสภาของสหรัฐก็ขานรับข้อเสนอที่บรรลุร่วมกันระหว่างประธานาธิบดี บารัก โอบามา กับพรรครีพับลิกัน ที่จะจัดการกับการขาดดุลงบประมาณอย่างหนักของประเทศที่นำไปสู่หน้าผาทางการ คลัง (Fiscal Cliff)

พูดให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คือ รัฐบาลสหรัฐสามารถเลี่ยงเส้นตายของมาตรการขึ้นภาษีและตัดลดค่าใช้จ่ายแบบ อัตโนมัติ เพื่อแก้ปัญหาหนี้และการขาดดุลงบประมาณของประเทศ ซึ่งจะมีผลในวันที่ 1 ม.ค. 2556 ได้อย่างเฉียดฉิว

ผลที่ได้ทำให้ความหวาดกลัวที่บรรดานักเศรษฐศาสตร์จากหลายสำนักทั่วโลกคาด การณ์กันไว้ก่อนหน้านี้ว่า หากปล่อยให้มาตรการหน้าผาการคลังเกิดขึ้น จะทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยอีกครั้ง และยังทำให้การใช้จ่ายของภาคประชาชน ซึ่งเป็นปัจจัยที่จำเป็นสำหรับการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจประเทศซบ เซาหนักตามไปด้วย

ยังไม่นับรวมถึงผลกระทบต่อสภาวะเศรษฐกิจทั่วโลก มลายหายไปแทบหมดสิ้น

เหลือเพียงแค่การรอลุ้นให้สภาล่าง หรือบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอนุมัติรับรองเท่านั้น

ทั้งนี้ แม้อาจจะต้องเผชิญกับเสียงซักค้านทักท้วงอย่างหนักหน่วงจากสมาชิกสังกัดพรรค รีพับลิกัน ซึ่งครองเสียงข้างมากอยู่ในสภาล่าง แต่ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ต่างเชื่อมั่นและเชื่อใจว่า สหรัฐจะไม่ทำให้ทั่วโลกต้องผิดหวัง โดยสหรัฐจะสามารถจัดการหาทางประนีประนอมสารพัดข้อขัดแย้งที่ยังตกลงกันไม่ ได้ให้ลุล่วงไปได้ด้วยดีในที่สุด

อย่างไรก็ตาม ถึงจะเป็นข่าวดีที่ทำให้เหล่านักลงทุนชื่นอกชื่นใจรับต้นปี แต่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่กลับยิ้มไม่ค่อยออกสักเท่าไรนัก เพราะหลังจากที่ได้พลิกอ่านรายละเอียดแล้ว ต่างคนต่างตระหนักดีว่า ข้อตกลงล่าสุดเพียงแค่ช่วยให้เศรษฐกิจของสหรัฐเลี่ยงปัญหาได้แค่ชั่วครู่ ชั่วยามเท่านั้น

เรียกได้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นเพียงความคืบหน้าที่ช่วยต่อลมหายใจให้เศรษฐกิจ ของสหรัฐมีเวลาเพียงพอจะแสวงหาหนทางจัดการยุติปัญหาต่างๆ ให้ลุล่วงโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

สาเหตุเพราะปัญหาการจัดเก็บ ยกเว้น หรือตัดลดภาษี ทั้งของบุคคลธรรมดา และของบริษัทองค์กรห้างร้านต่างๆ ยังคงเป็นประเด็นหลักใหญ่ที่ 2 พรรคใหญ่ของประเทศอย่างพรรคเดโมแครต และพรรครีพับลิกัน ยังตกลงกันไม่ได้

เพราะรัฐบาลสหรัฐยังคิดกันไม่ตกเสียทีว่าจะตัดลดค่าใช้จ่ายของรัฐบาล อย่างไรดี ระหว่างหันมาใช้มาตรการรัดเข็มขัดแบบเข้มงวด เพื่อลดการขาดดุลงบประมาณของประเทศ หรือเดินหน้าเป็นหนี้ต่อด้วยการทุ่มใช้เงินกระตุ้นเศรษฐกิจ และกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชนภายในประเทศ

และท้ายที่สุด เพราะสหรัฐยังมีประเด็นปัญหาใหญ่ที่ต้องคุยต่อไปอีกค่อนข้างยาวนาน อย่างการจัดการกับปริมาณหนี้มหาศาล และเพดานหนี้ของตนเอง เพื่อหลบเลี่ยงการเผชิญหน้ากับสถานการณ์สุ่มเสี่ยงต่อการผิดนัดชำระหนี้ของ ประเทศ ซึ่งจะทำให้เสียเครดิตหมดจนสหรัฐต้องสูญเสียความเชื่อมั่นของบรรดานักลงทุน ทั่วโลกไป

ทั้งนี้ หากได้ติดตามข่าวคราวของการเจรจาแก้ปัญหาหน้าผาการคลังของสหรัฐมาอย่างต่อ เนื่อง ต่อให้ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญหรือนักเศรษฐศาสตร์ ย่อมพอจะเข้าใจได้ในระดับหนึ่งแล้วว่า ความขัดแย้งที่ส่งผลให้การเจรจาตกลงหน้าผาการคลังล่าช้ายืดเยื้อก็คือ เรื่องการยกเครื่องระบบการจัดเก็บภาษี ที่ฝั่งพรรคเดโมแครตนำโดยประธานาธิบดีโอบามา ต้องการเก็บภาษีกับผู้มีรายได้สูงเพิ่มเติม ขณะที่ฝั่งพรรครีพับลิกันไม่ต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการจัดเก็บ ภาษีที่มีอยู่ในปัจจุบัน

สำหรับข้อตกลงด้านภาษีล่าสุด ระบุชัดว่า รัฐบาลสหรัฐจะจัดเก็บภาษี 39.6% ในส่วนของบุคคลธรรมดาที่มีรายได้เกิน 4 แสนเหรียญสหรัฐต่อปี (ราว 12 ล้านบาทต่อปี) และในส่วนของครัวเรือนที่มีรายได้เกิน 4.5 แสนเหรียญสหรัฐต่อปี (ราว 13.5 ล้านบาทต่อปี) ขณะที่รายได้ของบริษัท องค์กร รวมถึงเงินปันผลจะมีการเก็บภาษีเพิ่มที่ 20% จากเดิมซึ่งอยู่ที่ 15%

นอกจากนี้ รัฐบาลจะเดินหน้าขึ้นภาษีมรดกอสังหาริมทรัพย์จาก 35% เป็น 40% พร้อมกับการเดินหน้าขยายเวลามาตรการการลดหย่อนภาษีเพื่อช่วยเหลือครอบครัว หรือผู้มีรายได้น้อย และบรรดาชนชั้นกลางออกไปอีก 5 ปี

นักวิเคราะห์ส่วนหนึ่งแสดงความเห็นว่า เงื่อนไขด้านการจัดเก็บภาษีข้างต้น เพียงแค่ช่วยให้สหรัฐจัดการเลี่ยงสภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้เฉพาะในปัจจุบันนี้ เท่านั้น โดย มินซีย์ ชินน์ นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยวิสคอนซินเมดิสัน เห็นว่ามาตรการภาษีข้างต้น ถ้าอนุมัติบังคับใช้จริงก็จะเป็นเพียงแค่มาตรการชั่วคราวที่ช่วยให้รัฐบาล สหรัฐมีทางเลือกในการกำหนดอัตราฐานภาษีขั้นต่ำ เพื่อช่วยเหลือชนชั้นกลางและผู้มีรายได้น้อย

ทว่า ขณะที่รัฐบาลมีรายได้เพิ่มมากขึ้นจากการขึ้นภาษีคนรวย แต่ตราบใดที่สหรัฐไม่ปรับปรุงระบบกฎเกณฑ์การจัดเก็บภาษีในปัจจุบัน ซึ่งมีรูโหว่ช่องว่างให้ผู้เสียภาษีสามารถยื่นขอลดหย่อนหรือขอคืนภาษีได้มาก มาย สุดท้ายการผลักดันการขึ้นภาษีของรัฐบาลสหรัฐครั้งนี้ย่อมไม่เป็นประโยชน์ อยู่ดี

แมกซ์ โบว์คัส ประธานคณะกรรมการการเงิน วุฒิสภาสหรัฐ ยอมรับว่าการเดินหน้ายกเครื่องปฏิรูประบบภาษีทั้งหมดของประเทศสหรัฐ ถือเป็นกุญแจสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจและการจ้างงานของแดนลุงแซม แต่ปัจจัยที่กล่าวมานี้เป็นสิ่งที่นักวิเคราะห์เกือบทุกสำนักเห็นตรงกันว่า ยังมองไม่เห็นสัญญาณที่ชัดเจนจากทำเนียบขาวและสภาคองเกรสแม้แต่น้อย

สำหรับประเด็นเรื่องการตัดลดค่าใช้จ่ายของภาครัฐ มูลค่า 1.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 36 ล้านล้านบาท) ภายในระยะเวลา 10 ปี ที่จะให้มีผลโดยอัตโนมัติทันทีในวันปีใหม่นี้ เป็นที่แน่นอนแล้วว่า ทั้งพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน ต่างเห็นชอบให้เลื่อนการบังคับใช้ออกไปอีก 2 เดือน พร้อมชดเชยมาตรการตัดลดด้วยมาตรการรัดเข็มขัดมูลค่า 2.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 7.2 แสนล้านบาท) โดยครึ่งหนึ่งจะมาจากการลดการใช้จ่ายในงบประมาณทั้งด้านการทหารและสังคม ขณะที่อีกครึ่งหนึ่งที่เหลือมาจากจำนวนรายได้ที่จะเข้ามายังรัฐ

อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่นักวิเคราะห์วิตกกันมากก็คือ สภาคองเกรสของสหรัฐยังไม่สามารถบรรลุรายละเอียดของการดำเนินการตัดลดค่าใช้ จ่ายของภาครัฐ ซึ่งส่วนมากอยู่ในรูปของความช่วยเหลือและสวัสดิการสังคมให้กับคนตกงาน โครงการประกันสุขภาพ โครงการเงินช่วยเหลือแพทย์ในโครงการประกันสุขภาพ ตลอดจนโครงการเงินบำนาญ

ทั้งหมดข้างต้นล้วนเป็นประเด็นที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า สหรัฐต้องการเวลาเจรจาพูดคุยมากกว่าระยะเวลา 2 เดือนที่ยืดออกไปแน่นอน ยืนยันได้จากการเจรจาตกลงอย่างต่อเนื่องตลอดปีที่ผ่านมา แถมในระหว่างนั้นรัฐบาลสหรัฐมีเรื่องที่จะต้องแก้ไขเร่งด่วนอย่างปัญหาการ ว่างงาน

“สิ่งที่เราสามารถคาดหวังจากสหรัฐได้ต่อจากนี้ก็คือ สภาพเศรษฐกิจที่ซึมเซา เพราะปัญหาการขาดดุลงบประมาณ พร้อมกับความขัดแย้งในเรื่องดังกล่าวซึ่งมีแนวโน้มไม่จบสิ้น” นักเศรษฐศาสตร์จากโนมูระ ระบุชัดเจนในรายงานวิจัย

ทั้งนี้ ความขัดแย้งข้างต้นยังเกี่ยวข้องกับประเด็นสุดท้ายที่นักวิเคราะห์วิตกกัน ค่อนข้างมากก็คือ เรื่องปริมาณหนี้ของสหรัฐ ที่ในปัจจุบันพุ่งเฉียดพิกัดที่ 16.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 492 ล้านล้านบาท) จากระดับเพดานหนี้ที่กำหนดไว้ที่ 16.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งรัฐบาลมีกำหนดคุยเรื่องการปรับเพดานหนี้อีกครั้งในช่วงเดือน ก.พ.-มี.ค. หลังจากที่การพูดคุยเพื่อปรับเพิ่มเพดานหนี้ล่าสุดคือ เมื่อเดือน ส.ค. 2554 จาก 14.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เป็นอัตราในปัจจุบัน

ทั้งนี้ ลำพังแค่การตกลงเรื่องการปรับเพดานหนี้ครั้งก่อนยังกินเวลายาวนานจนเฉียด เส้นตายที่ทำให้สหรัฐเสี่ยงต่อการผิดนัดชำระหนี้มาแล้ว นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่จึงค่อนข้างมั่นใจว่า การพูดคุยตกลงในครั้งนี้ไม่น่าจะแตกต่างกันมากนัก

ยิ่งเมื่อบวกกับข้อแลกเปลี่ยนล่าสุดจากฝั่งพรรครีพับลิกัน ที่ยื่นคำขาดให้รัฐบาลประธานาธิบดีโอบามา ต้องตัดลดค่าใช้จ่ายของภาครัฐ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลพรรคเดโมแครตพยายามต้านมาโดยตลอด เพื่อแลกกับการอนุมัติปรับระดับเพดานหนี้ ก็ยิ่งทำให้นักวิเคราะห์แทบจะทุกสำนักเริ่มเชื่อมั่นในการคาดการณ์ของตนเอง มากขึ้น

ทั้งนี้ หากเปรียบเรื่องการจัดการหน้าผาการคลังของรัฐบาลสหรัฐเป็นการวิ่งมาราธอน นักวิเคราะห์จากหลายสำนักต่างยอมรับว่า เป็นการวิ่งมาราธอนในระยะทางที่ไกลและนาน โดยที่ยังมองไม่เห็นเส้นชัยใดๆ ชัดเจน

และเวลาอีก 1 ปีนับต่อจากนี้ไป อาจเป็นเวลาที่บรรดารัฐบาลนานาประเทศและนักลงทุนทั่วโลกมีแนวโน้มที่จำเป็น จะต้องลุ้นกับทิศทางการจัดการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐกัน ต่อไปอีกนานอีกครั้ง

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

อินเดียจะขึ้นภาษีนำเข้าทองเมื่อไหร่ครับ ตอนนี้คนอินเดียก็รีบซื้อทองก่อนภาษีจะขึ้น

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

รูปนี้เขาเขียนไว้ตั้งแต่ 4/12/2012 ครับว่าราคาทองควรจะเป็นเท่าไรถ้าคิดจากหนี้ของเมกาหารด้วยทองทั้งหมดที่เมกามีอยู่ (ถ้ากลับมาใช้gold standard)......แต่ที่เป็นปัญหาก็คือจริงๆแล้วคาดกันว่าเมกาไม่มีทองแล้ว

 

radomski_january22013_1.gif

 

On December 4, 2012, we wrote the following:

 

This chart presents the … relation of US debt to Treasury gold reserves – the amount of debt per one ounce of gold – up to 2012. The red line represents US Treasury gold reserves in metric tonnes, while the yellow line denotes the amount of US debt in dollars per ounce of gold. The debt per ounce has visibly increased since 1971, accelerating around 2000 and even more around 2008. In 2012, there were
$61,796.11 of debt per one ounce of gold owned by the US government.

 

Now, if a new gold standard is introduced and the agreement works like the Bretton Woods system, the dollar (or whatever other currency) would be tied to gold. As noted earlier in this essay, at the introduction of the Bretton Woods agreement in 1944 the debt coverage for the US stood at 10.9% (or $319.90 of debt per one troy ounce of gold). If the new system were based on similar assumptions with debt coverage at 10%, this would imply a fixed price of $6,179.61 per ounce of gold ($6,179.61 per ounce of gold divided by $61,796.11 of debt per one ounce of gold gives us coverage of 10%).

 

 

Read more: http://www.minyanvil...1#ixzz2GsN1eToA

ถูกแก้ไข โดย MOR LEK

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...