ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

:P :P :P ขอบคุณค่ะคุณเสม เก็บมันทุกด่านตามที่คุณเสมบอกเลย :P :P :P

รอ 1600 ไปโลดๆๆค่ะ :D :D :D

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

อยากถามถึง HSI อ่ะค่ะ

ว่าตอนนี้เขียว หรือ แดง คะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Certainly Possible และ Price Reversal ในสินค้าโภคภัณฑ์ ?

กรุงเทพธุรกิจ วันพฤหัสบดีที่ 09 ธันวาคม พ.ศ. 2553

 

เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาที่ ฯพณฯ Ben Bernanke ประธานระบบธนาคารกลางของสหรัฐ (U.S. Federal Reserve System หรือ FED) ได้ให้สัมภาษณ์รายการ 60 Minutes ทางช่อง CBS ฟรี TV ในสหรัฐ เกี่ยวกับการดำเนินนโยบายทางการเงินต่าง ๆ ของ FED ดังปรากฏตามรายละเอียดตามหน้าหนังสือพิมพ์ในช่วงที่ผ่านมาไปแล้ว ผู้อ่านที่สนใจสามารถหารับชมได้ทาง youtube.com นะครับ

 

การสัมภาษณ์ครั้งนี้ Bernanke ได้กล่าวคำศัพท์สวยน่าฟังอีกแล้ว (ชอบเป็นการส่วนตัวครับ) นั่นคือ “Certainly Possible” ซึ่งแปลว่า “เป็นไปได้อย่างแน่นอน” ว่า คณะกรรมการนโยบายการเงินของ FED จะทำการอัดเงินเข้าระบบด้วยการซื้อพันธบัตรอีก หรือ ทำ Quantitative Easing (QE) อีกเป็นคำรบ 3 หากมีความจำเป็น (ทั้ง ๆ ที่การทำ QE ที่ผ่านมาทั้ง 2 รอบได้ถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าไม่ได้ผล)

 

Bernanke พยายามเน้นย้ำให้สาธารณชนทั่วโลกทราบว่า นโยบาย QE ที่ FED ได้ดำเนินอยู่ในขณะนี้ไม่ใช่การพิมพ์เงินออกมา (PRINTING MONEY) เหมือนอย่างที่กล่าวหากัน โดยให้เหตุผลว่า นโยบาย QE เป็นนโยบายทางการเงินที่ทำให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำด้วยการเข้าซื้อพันธบัตรเท่านั้น และ หลังจากการทำ QE นี้ ปริมาณเงินในระบบไม่ได้เพิ่มขึ้นจากเดิมอย่างมีนัย

 

อีกประเด็นหนึ่งที่ Bernanke พยายามจะสื่อให้แก่ผู้คนอเมริกันก็คือ เรื่องที่ผู้คนมีความกลัวต่อปัญหาเงินเฟ้อกันเกินเหตุ พร้อมทั้งแสดงความเชื่อมั่น 100% เต็มว่า FED จะสามารถควบคุมเงินเฟ้อได้ด้วยนโยบายดอกเบี้ย (โดยหากจำเป็น FED สามารถปรับขึ้นดอกเบี้ยได้ภายใน 15 นาที) โดยระบุชัดเจนว่าจะไม่ยอมให้อัตราเงินเฟ้อมีระดับที่สูงกว่า 2% ต่อปี (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ใน Bloomberg, Bernanke Says More Fed Purchases ‘Certainly Possible’ Dec 6th, 2010)

 

การออกมาให้สัมภาษณ์ของ Bernanke ในครั้งนี้ ก็เหมือนทุกๆ ครั้งที่ผ่านมาครับ ได้รับโดนโจมตีอย่างกว้างขวาง บ้างก็หาว่า Bernanke โกหกเกี่ยวกับนโยบาย QE ว่าไม่ใช่การพิมพ์เงิน (ทั้งๆ ที่เป็นการพิมพ์เงินออกมาโดยไม่มีต้นทุน)

 

บ้างก็แสดงความเห็นว่าจะเชื่อ Bernanke อีกได้อย่างไรว่าจะสามารถควบคุมอัตราเงินเฟ้อได้ ทั้งๆ ที่ Bernanke เองก็ได้ประเมินและดำเนินนโยบายการเงินที่ผิดพลาดมาหลายครั้งในช่วงก่อนวิกฤติ Sub-prime เมื่อ 2 ปีที่แล้ว

 

ส่วนตัวผมก็เชื่อ Bernanke บ้างในบางเรื่องครับ เช่น เรื่อง FED สามารถขึ้นดอกเบี้ยได้ภายใน 15 นาที แต่ไม่เชื่อครับว่า FED จะทำภายใต้ข้อจำกัดในปัจจุบัน และเชื่ออีกว่าการดำเนินนโยบายแบบที่ FED กำลังดำเนินอยู่ ณ ขณะนี้ มีวัตถุประสงค์อื่นนอกเหนือจากการกดอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำ นั่นคือ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเพื่อช่วยกระตุ้นการส่งออกของสหรัฐ (ซึ่งเป็นการกดดันนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนของจีนไปด้วยในตัว)

 

ราคาของสินค้าไม่ว่าจะเป็นทองคำ เงินแท่ง น้ำตาล กาแฟ ยางพารา ดัชนีราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างปรับตัวตอบรับบทสัมภาษณ์ “Certainly Possible” ของ Bernanke (เพราะเชื่อมั่นว่าน่าจะมี QE 3.0 ออกมาอีก) โดยได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อไปอีกหลังจากเพิ่มขึ้นมาแล้วพอสมควรจากนโยบาย QE 2.0 เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

 

โดยเฉพาะสินค้าทองคำที่เป็นที่ฮือฮาพอสมควรในบ้านเรา เนื่องจากราคาได้เพิ่มขึ้นสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ทะลุระดับ 2 หมื่นบาทเป็นครั้งแรกเมื่อวันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม 2553

 

แต่ ณ สิ้นวันทำการของวันอังคารที่ 7 ธันวาคม 2553 ด้วยเหตุผลกลใดไม่ทราบได้ ณ ราคาปิด ที่ตลาด NYSE ในสหรัฐ กราฟแสดงราคาทองคำ และน้ำมันดิบ (ซึ่งพอจะถือได้ว่าเป็นตัวแทนของสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งหมด) ที่มี Exchange Traded Fund (ETF) ได้แก่ GLD (SPDR Gold Trust Shares) และ USO (United States Oil Fund) เป็น Proxies รวมถึง ดัชนีราคาสินค้าโภคภัณฑ์ Commodity Research Bureau (CRB) ต่างพร้อมใจกันมีรูปแบบ

 

ซึ่งเป็นรูปแบบของการวิเคราะห์ทาง Technique ที่เรียกว่าสัญญา Reversal หรือ สัญญาณการกลับตัวของราคา ได้แก่ รูปแบบของ Key Reversal; Outside Reversal หรือ Bearish Engulfing Pattern แสดงความเป็นไปได้ของการกลับตัวของราคาไปในทิศทางตรงข้าม เช่น ในกรณีนี้จากขาขึ้นไปเป็นขาลง ในทองคำรูปแบบที่เกิดขึ้นถือเป็น Key Reversal ครับเนื่องจาก Reversal นี้เกิดขึ้นที่ระดับ all time high แต่สำหรับน้ำมัน และดัชนี CRB นั้นรูปแบบที่เกิดขึ้นถือได้เป็นแค่ Outside Reversal หรือ Bearish Engulfing Pattern (เนื่องจากรูปแบบที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดที่ระดับ all time high เหมือนทองคำ) แต่ก็ถือว่าเป็นรูปแบบ Reversal ที่มีนัยพอสมควร

 

ก็คงต้องเฝ้าติดตามต่อไปว่าการ Form รูปแบบ Reversal ของราคาของสินค้าโภคภัณฑ์ในครั้งนี้ เป็นเพียงแค่การปรับฐานเพื่อทำกำไรระยะสั้น หรือ ภาวะกดดันไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Deflation หรือ De-leveraging จากวิกฤติหนี้ทั้งในยุโรปและในรัฐบาลท้องถิ่นของสหรัฐเอง หรือ จากภาวะการว่างงานในระบบเศรษฐกิจตะวันตก จะกลับมาปะทุทำให้เกิดเป็นการเปลี่ยน Trend รอบใหญ่ของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ คำตอบคงจวนจะออกมาในอนาคตอันใกล้นี้แล้วครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ยูโร คือ หมูหัน

ประวิทย์ เรืองศิริกูลชัย นักเศรษฐศาสตร์นอกกรอบ อดีตนักเรียนทุนญี่ปุ่น กรุงเทพธุรกิจ วันพฤหัสบดีที่ 09 ธันวาคม พ.ศ. 2553

 

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น...เงินยูโร นั้นเหมือนมีชะตากรรมที่เหมือนถูกสาปและต้องอายุสั้นกว่าที่ควรจะเป็น เพราะมีการถือกำเนิดแบบไม่มีตรรกะเหตุผลที่ดีพอมารองรับ แม้ว่าจะถูกสร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนการค้า การลงทุนในยูโรโซนได้เป็นอย่างดีมาช่วงเวลาหนึ่งก็ตาม อย่างไรก็ดี ค่าเงินที่ควรจะสะท้อนสภาพเศรษฐกิจของแต่ละประเทศกลับไม่สามารถเกิดขึ้นได้ ก็เพราะ "ระบบเงินยูโร" นี่เอง

 

เมื่อเวลาผ่านไป 10 ปี คนทั่วโลกก็เริ่มเห็น "ด้านมืด" ของเงินยูโรอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น ประเทศที่แข็งแรง เงินเฟ้อต่ำ และประเทศที่อ่อนแอ เงินเฟ้อสูง กลับใช้เงินสกุลเดียวกัน ยิ่งเวลาผ่านไป ประเทศที่อ่อนแอยิ่งไม่สามารถจะแข่งขันด้านการส่งออกได้เลย เมื่อส่งออกได้น้อยนำเข้ามาก ก็พบปัญหาขาดดุลบัญชีเดินสะพัดและติดหนี้กับต่างประเทศจำนวนมาก โดยในปี 2008 ที่ค่าเงินยูโรเคยแข็งค่าถึงระดับ 1.60 ดอลลาร์นั้น กรีซเคยขาดดุลบัญชีเดินสะพัดถึง 15% GDP ส่วนสเปนและโปรตุเกสอยู่ระดับ 10% GDP ดังนั้น จะเห็นได้ว่าประเทศเหล่านี้ไม่สามารถแก้ไขด้วยการรัดเข็มขัดการคลังเท่านั้น เพราะต้นตอของปัญหาไม่ได้อยู่ตรงนั้น ถึงจะรัดเข็มขัดจนเหลือขาดดุล 3% GDP ประเทศก็ยังไม่สามารถค้าขายให้ได้ดุลมาเพื่อลดหนี้ได้ ปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่ระดับอัตราแลกเปลี่ยน "ยูโร" ที่ไม่เหมาะสมกับประเทศอ่อนแอเหล่านี้ต่างหาก

 

ประเทศที่ประสบปัญหาจนต้องขอความช่วยเหลือก่อนเพื่อน ก็คือ กรีซ (G) ถัดมา ก็คือ ไอร์แลนด์ (I) และน่าจะเป็นโปรตุเกส (P) คือรายต่อไป เมื่อเรียงลำดับอักษรจากหลังมาหน้า ก็จะได้คำว่า "PIG" นั่นเอง แล้วอีก 2 ประเทศขนาดใหญ่ที่จะตามมา ก็คือ สเปน (S) และอิตาลี (I) ก็ได้เป็นคำว่า "IS" ซึ่งหาก 2 ประเทศนี้ถูกโจมตีด้วยกองทุนเฮดจ์ฟันด์อย่างได้ผลจนผลตอบแทนพันธบัตรสูงลิ่วเสียแล้วละก็ ในที่สุด ก็คงถึงเวลาล่มสลายของเงิน EURO ดังนั้น อาจเรียงประโยคได้ว่า "EURO IS PIG" เงินยูโร คือ หมูหัน ที่พร้อมถูกเชือด นี่คือ คำสาปจากสวรรค์

 

Paradox of Euro หมายถึง "การขัดแย้งกันเองของเงินยูโร" ประเทศที่อ่อนแอ (PIIGS) ดอกเบี้ยและเงินเฟ้อสูง แถมด้วยขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ค่าเงินควรอ่อนลงในระยะยาว ขณะที่ประเทศแข็งแกร่ง (เยอรมนี) ดอกเบี้ยและเงินเฟ้อต่ำ ได้ดุลบัญชีเดินสะพัด ค่าเงินควรแข็งค่าขึ้นในระยะยาว แต่ 2 กลุ่มประเทศกลับใช้ค่าเงินเดียวกัน ดังนั้น ยูโรจึงควรทั้งแข็งค่า และอ่อนค่าในระยะยาว เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นไม่ได้เพราะมันขัดแย้งกันเอง สภาพเช่นนี้จะไม่สามารถคงอยู่ได้นานนักในอนาคต ในปี 2011 จึงควรเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของระบบเงินสกุลเดียวนี้

 

"หมูหัน" ยังต้องมีการผ่าแบ่งซีกด้วยเช่นเดียวกันกับ "เงินยูโร" ทางแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุดน่าจะเป็นการสร้างเงินอีกระบบหนึ่งขึ้นมารองรับ เพื่อแยกประเทศในยูโรโซน ออกเป็นอย่างน้อย 2 กลุ่มด้วยกัน คือ กลุ่มแข็งแรง และกลุ่มอ่อนแอ จะแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างได้ และยังรักษาข้อดีของการใช้เงินสกุลร่วมกันได้ต่อไป

 

ไทยควรแสดงบทบาทผู้นำโลกในการช่วยแก้ไขวิกฤติเศรษฐกิจ ด้วยการให้ ธปท.รีบนำเอาข้อความ 2 ประโยคไปบอกกับธนาคารกลางของยูโรโซน (ECB) ดังนี้ "ระบบอัตราแลกเปลี่ยนที่ใช้มานานกว่า 10 ปี มันไม่แน่ว่ามันจะดีเสมอไป" และ "การยื้อพยายามรักษาระบบที่ผิดพลาดเอาไว้ จะทำให้ความเสียหายเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ" นี่คือ การสื่อสารว่า "ระบบตะกร้าเงินบาท" ในอดีต กับ "เงินยูโร" ในปัจจุบัน ต่างก็มีจุดบกพร่องและสมควรจะต้องมีการปรับเปลี่ยนแก้ไขโดยเร็วที่สุด "ระบบตะกร้าเงินบาท" นั้นใช้เวลา 12 ปีกว่าจะถูกยกเลิกไป ขณะที่เงินยูโร ก็จะครบรอบ 12 ปีในปี 2011 เช่นกัน

 

หากประเทศที่แข็งแรงก็ใช้เงิน Eura ใช้กฎเกณฑ์ที่เข้มงวด เช่น ขาดดุลการคลังไม่เกิน 3% GDP กลุ่มนี้จะมีเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยต่ำ และค่าเงินจะแข็งค่าในระยะยาว ส่วนประเทศอ่อนแอใช้ Euro กันต่อไป ปรับเกณฑ์ขาดดุลการคลังให้ยืดหยุ่นขึ้นเป็น 5% GDP เบื้องต้นอาจกำหนดให้ Eura มีค่าแข็งกว่า Euro ราว 10% หลังจากนั้น ก็เปิดเสรีให้ซื้อขายเป็นไปตามกลไกตลาด อาจเป็นไปได้ว่า Euro อาจดิ่งลงอย่างเร็วเหลือแค่เท่ากับ 1 ดอลลาร์ ขณะที่ Eura อาจแข็งค่าขึ้นเป็น 1.5 ดอลลาร์ นั่นหมายถึงว่า กรีซ ซึ่งฝืนใช้ค่าเงินเดียวกับเยอรมนี เป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง เพราะค่าเงินที่เหมาะสมนั้นอาจแตกต่างกันได้ถึง 50%

 

กลุ่ม PIIGS จะมีเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยจะสูงกว่า ค่าเงินจะอ่อนค่าลงในระยะยาว ซึ่งก็จะช่วยให้ภาระหนี้สินเป็น "ยูโร" ของประเทศกลุ่ม PIIGS นั้นด้อยค่าลง พร้อมๆ กับช่วยส่งเสริมการส่งออกและการท่องเที่ยวให้แข่งขันได้ดีขึ้น ช่วยประเทศลูกหนี้เหล่านี้ให้ทำมาค้าขายมีกำไรเพื่อมาลดหนี้ได้ วิธีนี้จะปรับเศรษฐกิจของยุโรปเข้าสู่สมดุลในที่สุด แม้ว่าประเทศเยอรมนี และประเทศเอเชียที่เป็นเจ้าหนี้ "เงินยูโร" จำนวนมาก อาจต้องมีสินทรัพย์เงินยูโรที่ด้อยค่าลงไปบ้างก็ตาม

 

ในที่สุดแล้ว ผมคิดว่าค่าเงินที่เหมาะสมสำหรับยุโรป อาจต้องใช้เงินถึง 3 สกุลด้วยกัน Eura, Euri และ Euro เพื่อให้ประเทศที่แข็งแรง กลางๆ และอ่อนแอ ได้เลือกใช้ให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจของประเทศตนเอง ยังมีอีก 11 ประเทศใน EU ที่ยังไม่เข้าในระบบยูโรโซน ก็อาจได้ใช้จังหวะนี้เพื่อโดดเข้าใช้เงิน "สกุลร่วม" 1 ใน 3 สกุล ดังนั้น ทั้งยุโรปตะวันตก ตะวันออก รวมไปถึงแอฟริกาอีกหลายประเทศ อาจเหลือเงินแค่ 3 สกุลนี้เท่านั้น และนี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการ "แตกเพื่อโต" ของยุโรป และช่วยสร้างต้นแบบที่ดีให้กับค่าเงินในเอเชียด้วย

 

สำหรับการป้องกันวิกฤติเศรษฐกิจอันเกิดจากอัตราแลกเปลี่ยน เช่น วิกฤติเตกีล่าในเม็กซิโก วิกฤติต้มยำกุ้งในไทย และวิกฤติในอาร์เจนตินา ซึ่งปล่อยให้ค่าเงินแข็งเกินระดับเหมาะสมเป็นเวลานาน ส่งผลให้ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่องจนเกิดวิกฤตินั้น แนวคิดของนายไกธ์เนอร์ รมว.คลังอเมริกาถือว่าดีทีเดียว IMF และ WTO ควรมีหน้าที่เข้ามาดูแลประเทศที่มีดุลบัญชีเดินสะพัดทั้งด้านได้ดุลและขาดดุลเกินกว่า 3% GDP ติดต่อกัน 3 ปี เพื่อปรับระบบอัตราแลกเปลี่ยนให้เหมาะสมเกิดสมดุลขึ้นได้ หากมีการเตือนภัยเช่นนี้โลกคงลดปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจต่างๆ ไปได้มาก รวมทั้ง "วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์" และ "วิกฤติหมูยูโร" ในครั้งนี้ด้วย

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณ คุณส้มโอมือสำหรับข้อมูลดีๆ ที่นำมาแบ่งปันนะค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบาย quantitative easing (QE)เพราะ2ครั้งที่ผ่านมาเป็นการพิมพ์เงินเพิ่มโดยไม่มีแบ็คอัพไม่ใช่หรือค่ะ ต้องหาข้อมูลเพิ่มเติมซะแล้ว ถ้าเจออะไรน่าสนใจจะเอามาฝากกันนะค่ะ

ถูกแก้ไข โดย aorja

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณคุณส้มโอมือครับ

 

แต่ ณ สิ้นวันทำการของวันอังคารที่ 7 ธันวาคม 2553 ด้วยเหตุผลกลใดไม่ทราบได้ ณ ราคาปิด ที่ตลาด NYSE ในสหรัฐ กราฟแสดงราคาทองคำ และน้ำมันดิบ Reversal หรือ สัญญาณการกลับตัวของราคา ได้แก่ รูปแบบของ Key Reversal; Outside Reversal หรือ Bearish Engulfing Pattern แสดงความเป็นไปได้ของการกลับตัวของราคาไปในทิศทางตรงข้าม เช่น ในกรณีนี้จากขาขึ้นไปเป็นขาลง

 

นั่นสิครับ เพราะอะหยัง ท่านผู้รู้ช่วยตอบด้วยครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ทองคำหลังจากขึ้นมาเป็นเวลาขึ้นมายาวนาน ตอนนี้ถึงเวลาในการ correction ครั้งนี้ราคาอาจจะได้เห็นที่ต่ำกว่า $1350-1300

วันนี้ระบบ GF เเดงหมดเเล้วนั่งนิ่งๆๆ ส่วนทองคำเเท่งยังเขียวถือต่อไปครับ เป็นโอกาสดีของคนที่ตกรถในการเข้าซื้อทองคำ ก่อนจะทะยานไป $1600 ในปีหน้า

 

SET Index ยังอยู่หน้าเขียวถือต่อไป

DX ดีดขึ้นต่อเนื่องเร๊วๆนี้จะไปทดสอบ 83-84 ส่งผลให้ทองคำน่าจะลงไปได้อีกครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

อยากถามถึง HSI อ่ะค่ะ

ว่าตอนนี้เขียว หรือ แดง คะ

 

 

คือ สินค้า อะไรหรอครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณคุณส้มโอมือครับ

 

 

 

นั่นสิครับ เพราะอะหยัง ท่านผู้รู้ช่วยตอบด้วยครับ

 

ผมจะไม่ใช้ ข่าวสารมาทำการตัดสินใจซื้อขายครับ ผมยึดเเค่ระบบในการซื้อขายเท่านั้น

เเดงมาเราขาย เขียวมาเราซื้อ เเค่นั้นอะครับ

 

:lol: :lol: ;)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ทองคำหลังจากขึ้นมาเป็นเวลาขึ้นมายาวนาน ตอนนี้ถึงเวลาในการ correction ครั้งนี้ราคาอาจจะได้เห็นที่ต่ำกว่า $1350-1300

วันนี้ระบบ GF เเดงหมดเเล้วนั่งนิ่งๆๆ ส่วนทองคำเเท่งยังเขียวถือต่อไปครับ เป็นโอกาสดีของคนที่ตกรถในการเข้าซื้อทองคำ ก่อนจะทะยานไป $1600 ในปีหน้า

 

SET Index ยังอยู่หน้าเขียวถือต่อไป

DX ดีดขึ้นต่อเนื่องเร๊วๆนี้จะไปทดสอบ 83-84 ส่งผลให้ทองคำน่าจะลงไปได้อีกครับ

 

สวัสดีครับ..คุณเสม..

 

แล่นแท่งครับ..เก็บเพิ่มต่อ..รอ 1650 ด้วยคนครับ... :D

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณ คุณเสม & คุณส้มโอมือ ค่าาาา

!thk !thk !thk

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
:lol: :lol: ขอบคุณค่ะคุณแสม ต่ำกว่า1350-1300 เลยเหรอคะ กระสุนเราจะพอมั๊ยเนี่ย :lol: :lol:

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ทองคำหลังจากขึ้นมาเป็นเวลาขึ้นมายาวนาน ตอนนี้ถึงเวลาในการ correction ครั้งนี้ราคาอาจจะได้เห็นที่ต่ำกว่า $1350-1300

วันนี้ระบบ GF เเดงหมดเเล้วนั่งนิ่งๆๆ ส่วนทองคำเเท่งยังเขียวถือต่อไปครับ เป็นโอกาสดีของคนที่ตกรถในการเข้าซื้อทองคำ ก่อนจะทะยานไป $1600 ในปีหน้า

 

SET Index ยังอยู่หน้าเขียวถือต่อไป

DX ดีดขึ้นต่อเนื่องเร๊วๆนี้จะไปทดสอบ 83-84 ส่งผลให้ทองคำน่าจะลงไปได้อีกครับ

 

ขอบคุณมากๆๆๆครับคุณเสม

post-929-072588100 1292556081.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...