ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

'จีน'ตีจากบอนด์สหรัฐ-ยุโรป ถึงเวลาลงทุนจริง สินทรัพย์จริง

  • 16 ธันวาคม 2554 เวลา 07:05 น

'ถือเป็นอีกข่าวใหญ่ในวงการเศรษฐกิจโลก เมื่อธนาคารกลางจีน ประกาศไว้เมื่อ 3 วันก่อน ถึงแผนการจัดตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (Sovereign Wealth Fund) แห่งใหม่มีมูลค่าถึง 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐ โดยจะมุ่งหน้าลงทุนในสินทรัพย์จริงที่ไม่ใช่การลงทุนในตลาดพันธบัตรหรือสินทรัพย์ที่หวังผลจากอัตราดอกเบี้ย

 

แน่นอนว่า การตั้งกองทุนความมั่งคั่งดังกล่าวของจีนมีขึ้นเพื่อเตรียมการช้อนซื้อบรรดาสินทรัพย์ตลอดไปจนถึงหลักทรัพย์หรือหุ้นราคาถูกลงโดยเฉพาะในสหรัฐและยุโรป ที่ภาคเอกชนกำลังเผชิญหน้ากับสภาพคล่องทางการเงินอย่างหนัก และภาครัฐที่กำลังต้องการเร่ขายสินทรัพย์เพื่อหาเงินสดไว้ในมือ

อีกด้านหนึ่งนั้น อาจจะเห็นว่าการก่อตั้งกองทุน 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ของจีนครั้งนี้ ได้สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของจีนต่อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐและชาติยุโรปที่กำลังหดหายลงไป

นั่นหมายความว่า จีนกำลังตีจากตลาดพันธบัตรที่เคยถูกมองว่าให้ผลตอบแทนสูงและมีความมั่นคงอย่างพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐและพันธบัตรยุโรปแล้วจริงๆ

หากถามถึงเหตุผลว่าอะไรอยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนท่าทีของจีนในครั้งนี้ ก็ต้องบอกว่าเป็นเพราะจีนต้องประสบกับบทเรียนอันปวดร้าวมาแล้ว จากการลงทุนในสิ่งที่เคยคิดว่าดีที่สุด อย่างพันธบัตรสหรัฐ

ทั้งนี้ จีน ถือเป็นเจ้าหนี้ต่างชาติรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐ ด้วยการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐไว้สูงถึง 3.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ

A76EE911060F416590DBF1E161A0B270.jpg

อย่างไรก็ตาม จากการลงทุนไว้ในปริมาณสูง แรงกระแทกที่เกิดขึ้นกับจีนจึงหนักหนาสาหัสเอาการ เมื่ออันดับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลสหรัฐถูกหั่นร่วงลงจากระดับสูงสุดเป็นครั้งแรกในช่วงปีที่ผ่านมานี้โดย สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ ที่ปรับลดเครดิตสหรัฐลงจาก AAA มาอยู่ที่ AA+

ว่ากันว่า ผลจากการลดอันดับเครดิตดังกล่าว ได้ส่งผลกระทบต่อมูลค่าของพันธบัตรสหรัฐลดฮวบในทันที มูลค่าพันธบัตรสหรัฐที่จีนถือเอาไว้หายไปถึง 1 ใน 3 ต่อหน้าต่อตา

เท่านั้นยังไม่พอ อาจกล่าวได้ว่าจีนกำลังตกอยู่ในสภาวะหนีเสือปะจระเข้ เมื่อการลงทุนในตลาดพันธบัตรยุโรปที่จีนใช้เป็นการลงทุนเพื่อสร้างสมดุลให้กับมูลค่าในพันธบัตรสหรัฐที่หดหายไป แต่ก็ปรากฏว่ามูลค่าพันธบัตรในยุโรปที่จีนถือครองเอาไว้นั้น ซึ่งคาดว่าจะมีมากถึง 8 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ก็กำลังพบกับความเสี่ยงจากการเป็นหนี้เน่ามากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อปัญหาการใช้เงินมือเติบและปัญหาหนี้ที่หลายรัฐบาลชาติยุโรปซุกเอาไว้เริ่มส่งกลิ่นเน่าเฟะออกมาให้เห็นรายวัน

ส่วนจีนก็ได้แต่นั่งดูตาปริบๆ โดยไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ ทำได้แต่เพียงนั่งลุ้นว่าเมื่อไหร่พันธบัตรเหล่านั้นจะกลายเป็นหนี้เสียในที่สุด ดังนั้นจึงไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าจีนกำลังเข็ดขยาดกับการลงทุนในสินทรัพย์เหล่านี้

และเพื่อลดความสูญเสียจากมูลค่าในพันธบัตรสหรัฐและยุโรปที่จีนถือครองเอาไว้นั้น จีนจึงจำเป็นที่จะต้องเสาะหาการลงทุนในมิติใหม่ โดยการลงทุนในสินทรัพย์จริงและการลงทุนในหุ้นของเอกชนยุโรปและสหรัฐถือว่าเป็นทางเลือกที่ไม่เลวนัก เพราะผลตอบแทนน่าจะดีกว่าการนั่งรอความหวังให้ตลาดพันธบัตรของสหรัฐและยุโรปฟื้นตัว

นักวิเคราะห์ต่างชาติมองว่า ทุนขนาดมหึมา 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐก้อนนี้ จะมุ่งการลงทุนไปที่สินทรัพย์หลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ของเอกชน หรือแม้แต่ในอสังหาริมทรัพย์ใดๆ ที่รัฐบาลเจ้าของสินทรัพย์นั้นๆ ต้องการเทขาย

ตัวอย่างเช่น ในบริษัทพลังงานของโปรตุเกสที่มีชื่อว่า “เอเนอร์เจียส เดอ โปรตุกาล” ซึ่งมีราคาค่าตัววางขายอยู่ที่เพียง 2,500 ล้านยูโรเท่านั้น ซึ่งเป็นจังหวะดีที่จีนจะรีบเข้าช้อนซื้อในช่วงที่รัฐบาลโปรตุเกส ซึ่งเป็นอีกหนึ่งชาติที่กำลังเจอกับปัญหาหนี้สาธารณะและต้องการเงิดสดไว้ในมืออย่างยิ่ง เป็นสถานการณ์วินวินของทั้งคู่

ขณะที่หุ้นของบริษัทเอกชนในยุโรปก็น่าดึงดูดใจไม่น้อย แอนดี ซี นักวิเคราะห์ในฮ่องกงให้ความเห็นว่า บริษัทสัญชาติยุโรปส่วนใหญ่มีสาขาและธุรกิจทั่วโลก และทำกำไรไปทั่วโลก ซึ่งถือว่าสมเหตุสมผลที่ธนาคารกลางของประเทศเอเชียต่างๆ จะเปลี่ยนความสนใจจากการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลชาติตะวันตกอย่างเช่นพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่มีราคาสูงเกินจริง และหันไปลงทุนในหุ้นของบริษัทเอกชนมากขึ้น

นอกจากนั้น กระแสข่าวที่แย้มออกมาเป็นระยะๆ ก็ยังส่งสัญญาณว่าจีนกำลังมองการลงทุนที่หลากหลายมากขึ้น ซึ่งอาจจะครอบคลุมตั้งแต่ที่ดินการเกษตรไปจนถึงการลงทุนในท่าเรือของยุโรปและสหรัฐ

อย่างไรก็ตาม การลงทุนในสินทรัพย์จริงเหล่านี้ของจีน ก็เคยถูกกดดันอย่างหนักจากภายในบ้านมาบ้างเช่นกัน ว่าเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำเสียเปล่า อย่างเมื่อครั้งที่ บรรษัทเพื่อการลงทุนจีน (ซีไอซี) กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติรายใหญ่ของจีนต้องพบกับความสูญเสียอย่างมโหฬารไปกับการลงทุนในธนาคารมอร์แกน สแตนเลย์ ในสหรัฐ และกลุ่มบริษัท แบล็กสโตนกรุ๊ป เมื่อปี 2007 ซึ่งหลังจากนั้นเพียงปีเดียว ภาคการเงินของสหรัฐก็เจอกับวิกฤตครั้งรุนแรงจนเกือบจะทำประเทศล่มจม

กระนั้นก็ตาม สถานการณ์ในขณะนี้ถือว่าแตกต่างกันกับเมื่อครั้งปี 2008 อย่างสิ้นเชิง แม้ว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐจะยังเชื่องช้า และความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลในยุโรปจะหดหาย แต่ตลาดหุ้นใน 2 ภูมิภาคกลับคึกคักสวนทางสภาพเศรษฐกิจมาตั้งแต่ปี 2009 อย่างต่อเนื่อง

อีกทั้ง ในเมื่อขณะนี้สหรัฐก็ได้สูญเสียอันดับเครดิตเทพอย่าง AAA ไปแล้ว และความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลยุโรปก็ดิ่งเหวต่อเนื่อง จึงไม่มีเหตุผลใดที่จะถ่วงให้จีนไม่หันกลับเข้าไปลงทุนในหุ้นบริษัทเอกชนทั้งในยุโรปและสหรัฐอีก

หากพิจารณากันจริงๆ จะเห็นว่า จีนได้เริ่มการลงทุนในสินทรัพย์จริงในต่างประเทศมาระยะหนึ่งแล้ว โดยเห็นได้จากปริมาณการลงทุนตรงจากจีน (เอฟดีไอ) ในต่างประเทศทะลุ 6.8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐในปี 2010 เพิ่มขึ้นจากปี 2008 ซึ่งอยู่ที่ 5.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนในปี 2007 อยู่ที่ 2.3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น

เจิ้งซินลี่ ที่ปรึกษารัฐบาลกรุงปักกิ่งให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ เวิ่นโป ในฮ่องกงอย่างชัดเจนเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า “บริษัทต่างชาติจำนวนมากมีเทคโนโลยีที่ล้ำหน้ามาก และบริษัทพวกนั้นกำลังเผชิญหน้ากับสภาพคล่องทางการเงินอย่างหนัก ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสดีมากที่จะเกิดขึ้นสักครั้งหนึ่งในรอบหลายพันปีที่จีนจะรีบเข้าช้อนซื้อ”

แน่นอนว่า สำหรับจีนการเปลี่ยนทิศทางการลงทุนใหม่ในครั้งนี้ ถือว่าเป็นไปตามวัฏจักรของเศรษฐกิจทุนนิยม ที่การลงทุนย่อมมุ่งหน้าไปยังสิ่งที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า สิ่งที่กำลังจะตายไป

แต่สำหรับรัฐบาลยุโรปและรัฐบาลสหรัฐเอง ก็ต้องยอมจำนนว่ากำลังเสียโอกาสและสูญเสียลูกค้ารายใหญ่ไปในห้วงเวลาที่กำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตที่ต่างต้องการแรงสนับสนุนจากลูกค้าเงินหนา

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลูกค้าเกรด A ที่มีเงินถุงเงินถังอย่าง “จีน

ถูกแก้ไข โดย ส้มโอมือ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

การเงิน - การลงทุน

 

วันที่ 16 ธันวาคม 2554 17:07

 

ธปท.ลุยถือ'ทองคำ'ลดยูโรสัดส่วนเงินสำรอง

 

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

 

 

 

 

news_img_424862_1.jpg

ธปท.ลดความเสี่ยงเงินทุนสำรอง ปรับพอร์ตลดถือยูโร เพิ่มลงทุนทองคำ เผยทยอยซื้อต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี54

 

ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า การบริหารเงินสำรองระหว่างประเทศของธปท.ในช่วงที่ผ่านมาได้ลดการถือครองเงินสกุลยูโรลง และหันไปถือครองสินทรัพย์ประเภทอื่นเพิ่มเพื่อเป็นการบริหารความเสี่ยงในการลงทุน แต่อย่างไรก็ตามเงินสกุลยูโรที่ธปท.ถือส่วนใหญ่อยู่ในรูปพันธบัตรรัฐบาลเยอรมัน ซึ่งถือเป็นประเทศที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่งจึงไม่น่ากังวลในเรื่องความเสี่ยงทางเครดิตมากนัก

ส่วนสาเหตุที่ยังต้องถือสกุลเงินยูโรไว้บ้างนั้น เป็นเพราะการบริหารเงินสำรองระหว่างประเทศของธนาคารกลางทั่วไปจะแตกต่างจากการบริหารเงินลงทุนของบริษัทเอกชน ที่เมื่อเห็นสถานการณ์ไม่ดีก็สามารถย้ายไปลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่นได้หมด ขณะที่ธนาคารกลางจำเป็นต้องมีไว้บ้าง ไม่ว่าจะเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ยูโร ปอนด์ เยน วอน ริงกิต หรือแม้แต่ทองคำเป็นต้น

 

สำหรับการลงทุนในทองคำนั้น นายประสาร ยอมรับว่า รอบปีที่ผ่านมาธปท.ได้ทยอยซื้อทองคำเพื่อเก็บไว้ในรูปเงินสำรองระหว่างประเทศเพิ่ม ซึ่งการเข้าซื้อดังกล่าวส่วนหนึ่งเพื่อกระจายความเสี่ยงการลงทุนในรูปเงินสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันมีสัดส่วนการถือครองทองคำประมาณ 3% เศษของมูลค่าเงินสำรองระหว่างประเทศ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2554

 

อย่ากู้เงินเพื่อซื้อกองทุนรวม

 

 

 

 

วรวรรณ ธาราภูมิ

 

 

David Karas ที่ปรึกษาการลงทุนในแคนาดาที่ได้รับ License CFA ถูกลูกค้าชื่อ George French อายุ 58 ปี เกษียณแล้ว ฟ้องร้องด้วยข้อหาให้คำแนะนำการลงทุนที่ไม่เหมาะสม เพราะไปแนะนำให้ลูกค้ากู้ยืมเงินมาซื้อกองทุนรวม จนลูกค้าขาดทุนไปถึง $1.5 million (45 ล้านบาท) ทั้งนี้ บริษัทที่เขาสังกัดคือ Investia Financial Services Inc. ในโตรอนโต คานาดา ก็ถูกฟ้องด้วย โดย George French ระบุว่าเขาตกเป็นเหยื่อของกลยุทธ์การลงทุนที่ออกแบบมาเพื่อให้ที่ปรึกษาการลงทุนร่ำรวยด้วยเงินของลูกค้า

David Karas นับเป็นผู้มีชื่อเสียงในวงการกองทุนรวมมาก เคยได้รับรางวัลผู้ทำยอดขายกองทุนรวมสูงสุดจากบริษัทที่เขาสังกัดในช่วงปี 1989-2009 ปัจจุบันนี้เขาไม่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้ขายกองทุนรวมแล้ว แต่ยังมีทะเบียนให้ขายประกันได้ และที่ทำงานแห่งใหม่ของเขาชื่อ Investors Source Wealth Management Inc ก็ทำกิจการให้คำแนะนำวางแผนการลงทุนกับการบริหารภาษีด้วย

ทนายความของลูกค้าที่ฟ้องร้อง David Karas ยืนยันว่ามีลูกค้าของ David Karas อีกประมาณ 20 รายได้ติดต่อมาที่ทนายความเพื่อให้ทำคดีฟ้องร้อง Karas เช่นเดียวกัน และระบุว่ามีลูกค้าทั้งหมดประมาณ 150 รายที่ประสบปัญหาเช่นเดียวกับ George French ลูกความของเขา

 

 

ก่อนหน้าที่ George French จะได้รับคำแนะนำการลงทุนจาก David Karas ในปี 2000 เขามีเงินสะสมเพื่อเกษียณ $380,000 (11.4 ล้านบาท) อยู่ในบัญชีเงินฝากธนาคาร เขาไม่เคยสมรส และไม่ต้องเลี้ยงดูใคร จำนวนเงินนี้จึงน่าจะเพียงพอที่จะใช้จ่ายในวัยเกษียณตามลำพังได้

 

 

George French เล่าว่า David Karas แนะนำให้ลูกค้ากู้ยืมเงินเพื่อมาซื้อกองทุนรวมที่บริษัทของ Karas บริหาร โดยนำกองทุนรวมในส่วนที่ลูกค้ากู้เงินมาลงทุนไปเป็นหลักประกันการกู้ของลูกค้า และกู้มากเท่าไร ทั้งบริษัทและ Karas ก็จะยิ่งได้ค่าตอบแทนมากขึ้นเท่านั้น และในปี 2006 Karas ได้เปิดบริษัทเองชื่อ Financial Victory Associates โดยมีเป้าหมายจะให้บริการแนะนำลูกค้าว่าเมื่อไหร่ถึงควรจะซื้อและขายกองทุนรวม โดย Karas แจ้งลูกค้าว่าลูกค้าสามารถลดโอกาสที่จะขาดทุนจากการลงทุนได้หากสมัครใช้บริการนี้ แต่ Karas ก็ไม่ได้แจ้งลูกค้าว่าการมีค่าธรรมเนียมอีก 0.75% สำหรับการใช้บริการนี้จะยิ่งทำให้ลูกค้ายากที่จะได้กำไรจากการลงทุนในกองทุนรวมโดยการกู้เงินมาลงทุน

 

 

นอกจากนี้ Karas ยังแนะนำและขายประกันให้ลูกค้าโดยไม่ได้พิจารณาว่าเหมาะสมหรือไม่อีกด้วย George French บอกว่าเขาหลงเชื่อในคำแนะนำของ Karas ซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิตและประกันสุขภาพระยะยาวโดยต้องจ่ายค่าพรีเมี่ยมสูงถึง $22,000 (660,000 บาท) ต่อปี

 

 

George French เชื่อคำแนะนำของ Karas จึงได้กู้เงินกว่า 1 ล้านเหรียญ (กว่า 30 ล้านบาท) มาซื้อกองทุนรวม โดยพอร์ตโฟลิโอการลงทุนในกองทุนรวมที่เขาได้รับคำแนะนำให้ซื้อนั้นประกอบไปด้วยกองทุนหุ้น 92% กับกองทุนตราสารหนี้ 8% เขาจึงไม่มีการออมในเงินสดเลย และเมื่อตลาดหุ้นถล่มทลายในปี 2008 George French ก็พบกับปัญหาหนักหนาสาหัสในยามเกษียณ

 

 

การกู้เงินมาลงทุน เหมาะสมกับเราหรือเปล่า ?

แม้จะมีผู้แนะนำการลงทุนหรือผู้ขายกองทุนในปัจจุบันพยายามแนะนำให้ลูกค้ากู้ยืมในรูปแบบต่างๆ เพื่อนำเงินไปซื้อกองทุนรวม แต่ที่จริงแล้วจะไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่าการกู้ยืมเงินมาลงทุนในกองทุนรวมจะทำให้เราได้กำไร

 

 

ได้ยินกับหูว่าผู้ขายบางคนแนะนำลูกค้าว่าการใช้เครดิตการ์ดซื้อกองทุนจะได้แต้มสะสม ได้รางวัลต่างๆ มากมาย โดยอัตราดอกเบี้ยจากเครดิตการ์ดจะคิดต่ำกว่าปกติหรือไม่คิดดอกเบี้ยระยะหนึ่ง และอัตราดอกเบี้ยนั้นคุ้มกับอัตราภาษีเงินได้ที่ลูกค้าจะได้รับยกเว้น เพราะนำไปซื้อกองทุนอย่าง RMF และ LTF แต่เขาไม่ได้บอกลูกค้ามีความเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดขาดทุนได้โดยเฉพาะในช่วงสั้นๆ หากลงทุนในกองทุนรวมนั้น นอกจากนี้ ยังเคยได้รับโทรศัพท์บ่อยๆ จากบางธนาคารต่างประเทศ ที่พนักงานขายเรียกร้องให้ใช้วงเงินจากบัตรเครดิตไปซื้อกองทุน โดยบอกว่าหุ้นขึ้นแล้วได้กำไรคุ้มดอกเบี้ยแน่นอน

 

 

การขายกองทุนรวมต้องไม่เป็นแบบนี้ เราต้องยึดมั่นในจริยธรรมของการแนะนำลูกค้า ไม่ไปเน้นที่ต้องทำให้ได้เป้าโดยไม่คำนึงถึงความเหมาะสมของการให้คำแนะนำ

 

 

สิ่งที่ บลจ. บัวหลวง จะแนะนำก็คืออย่าตกเป็นเหยื่อของการขยายตลาดบนความเสียหายของลูกค้าซึ่งคนขายไปแนะนำให้ลูกค้ากู้มาซื้อกองทุน เอาของรางวัลมาล่อใจ

 

 

ลูกค้าใช้เครดิตการ์ดซื้อกองทุนรวม RMF และ LTF ได้ แต่เมื่อถึงเวลาที่บัตรเครดิตเรียกเก็บเงิน คุณจะต้องจ่ายชำระทั้งหมดเต็มจำนวน

 

มิฉะนั้น คุณอาจเป็นเหมือน George French

 

 

บลจ.ที่มีแบงค์หนุน ได้ประโยชน์กว่าลูกค้า แบงค์แม่ก็ได้ประโยชน์ แล้วทำไม บลจ.บัวหลวง ถึงออกมาค้านวิธีการขายแบบนี้ล่ะ

 

เพราะเราต้องการเป็นมิตรแท้ตลอดเส้นทางลงทุนของทุกคน ไม่ได้ห่วงหรอกว่ารายได้จะไม่ดี มันดีมากค่ะ ยิ่งสายป่านยาวๆ ยิ่งทำได้มาก แล้วแบงค์กรุงเทพ แบงค์ไทยพาณิชย์ แบงค์กสิกร ฯลฯ สายป่านพวกเราเหล่านี้จะสั้นละหรือ

 

 

ไม่เลย หากเราทุ่มตลาดกัน เราทำได้อยู่แล้ว

 

แต่คนที่รับกรรมคือลูกค้า

 

เข้าใจยังคะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2554

 

 

 

ทุนนิยมเสรี ไม่เวิร์คแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

คุณวรวรรณ ธาราภูมิ

CEO บลจ. บัวหลวง

 

3 ธันวาคม 2554

 

 

 

เริ่มต้นอย่างนี้ คงขัดใจใครหลายคนโดยเฉพาะพรรคพวกในตลาดทุน เพราะหากคนไม่เอาทุนนิยม ก็ไม่นิยมตลาดทุนแล้ว พวกเราคงตกงาน ในขณะที่อีกหลายคนเช่น ป้าธิดา อภิมหาศรีภรรยาของลุงเหวง กับคนที่เป็นซ้ายนิยมทุนอาจรู้สึกว่าได้พวก

อย่าเพิ่งสรุปความจากชื่อเรื่องก่อนจะอ่านจบ

เรื่องของเรื่องก็คือ มีคนจำนวนมากขึ้นในประเทศตะวันตกศาสดาทุนนิยม ที่เริ่มเชื่อว่าระบบทุนนิยมที่เรารู้จักกันมันไม่เวิร์คแล้ว

 

 

 

ดัชนีหุ้นดาวพงษ์ เอ้ย ดาวโจร (Dow Jones) เมื่อวันพุธพุ่งกระฉูด 4.24% จากวันก่อนหน้า ผู้ลงทุนสนองตอบข่าวชิ้นนึงยังกับคนที่เพิ่งกำซาบเฮโรอีน หลังจากธนาคารกลาง 6 แห่ง (FED, ECB, สวิส อังกฤษ คานาดา และ ญี่ปุ่น) จับมือกันกระทำการบางอย่างที่คนทั่วไปอ่านแล้วไม่รู้เรื่อง ซึ่งสรุปก็คือ ลุงเบน เบอร์นานเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐหรือ FED จะแปลงร่างเป็นซุปเปอร์แมนเบน ทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่สินเชื่อของโลกเพราะจะให้ธนาคารต่างๆ ในโลกที่มีปัญหาสภาพคล่องกู้เงินดอลลาร์ในอัตราดอกเบี้ยแทบจะเป็น 0% ได้จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ปี 2013

เรื่องนี้ พี่จันทร์ จากแบงค์กรุงเทพ บอกว่าหาก ลุงเบน เป็นเจ้าหน้าที่สินเชื่อก็ยังดี เพราะต้องวิเคราะห์ลูกค้าก่อนปล่อยกู้ แต่กรณีนี้ พี่จันทร์ บอกว่า

“ชั้นไม่เรียกอีตาเบนว่าเจ้าหน้าที่สินเชื่อหรอก เพราะอีตาเบนไม่ต้องวิเคราะห์ความสามารถของธนาคารต่างๆ ที่จะขอยืมเงินไปว่าจะคืนเงินกู้ได้หรือไม่ ใครอยากได้เงินก็มาเอาเงินเล้ย ดูมันทำ”

ส่วนดัชนีหุ้นไทยก็โหนกระแส เพราะหลังจากรับรู้ข่าวในเช้าวันพฤหัสก็เด้งดึ๋งตามจนปิดตลาด +2.39% แตะระดับ 1019.15 จุด ส่วนวันศุกร์ก็ปิดไปที่ 1029.37

ข่าวนี้ทำให้คนที่ชอบวิ่งเข้าวิ่งออกถลอกปอกเปิกเปลี่ยนไปอยู่ในโหมด “Risk On” คือรักที่จะเสี่ยงอีกครั้งไปทั่วโลก ลงมาจากเฮลิคอปเตอร์คนที่กลัวตกขบวนรถไฟก็วิ่งเข้าซื้อหุ้น ซื้อทอง คนที่ติดแหง็กก็ขายหุ้น ทุกคนหน้าบานเป็นจานเปล เฉลิมฉลองเทศกาลซานตาครอสโปรยเงินกันอย่างชื่นมื่น

กระทั่งใน Facebook นี้ ยังมีคนมาขอแอดเป็นเพื่อนตั้งแต่คืนวันพุธจนถึงวันศุกร์เพิ่มอีกประมาณ 100 กว่าราย โอย นอกจากต้องอ่านมาก วิเคราะห์มาก พิมพ์มากแล้ว ยังต้องกดรับเพื่อนอีกมากด้วย แต่ก็ยินดี หากเพื่อนใหม่ๆ ที่เข้ามานั้น หวังว่าจะเข้ามาหาความรู้ไปด้วยกัน เพราะเขียนไปหากไม่มีใครอ่าน ก็จะเหมือนเราเป็นคนบ้า

 

%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%25A1%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B52.JPG

 

 

แล้วหุ้นกับทองคำจะขึ้นไปอีกนานเท่าไหร่ล่ะพี่ตู่

ไม่รู้ดิ

อ้าว ไรฟะ ไม่รู้แล้วมารับแอดเป็นเพื่อนทำไมละนี่

เอ๊อ บ้าป่ะ ก็ตอนเธอแอดมาขอเป็นเพื่อน ไม่เห็นบอกล่วงหน้าว่าจะมาถามดัชนีหุ้นนี่หว่า หากบอกก่อนจะได้ไม่รับ เพราะไม่ใช่กูรู แต่เป็น กูไม่รู้ ฮึ สมน้ำหน้า

และแล้ว อาการ Euphoria (ไปหาความหมายใน http://www.urbandictionary.com/) ในฝั่งตะวันตกก็วูบหายไป เพราะหลังจาก ดาวโจร ขึ้นไปเกือบ 500 จุดในวันพุธ มันก็ตกลงมานิดหน่อย 23 จุดในวันพฤหัส กับ 0.61 จุดในวันศุกร์ เหมือนเฮโรอีนหมดฤทธิ์ภายในคืนเดียว

เหมือนกับว่าหลังจากกรี๊ดสนั่น 1 วัน แล้ว คนกระหน่ำซื้อดันนึกขึ้นมาได้ว่า

“เฮ้ย มันเป็นข่าวดีจริงไหม มันช่วยแก้ปัญหาจริงๆ ได้หรือเปล่า”

บางคนบ้างจะซื้อก็คิดว่า “จะรีบซื้อทำไม มันขึ้นไปเกิน 1000 จุดแล้ว น้ำก็ท่วม อะไรๆ มันยังไม่ชัด ปีหน้าโหราจารย์ทั้งหลายก็บอกเน่าแน่ๆ พินาศทั้งประเทศ ฯลฯ”

ในขณะที่คนขายก็นึกขึ้นมาได้ว่า “เฮ้ย เราขายหมูไปป่ะ ถ้ามันขึ้นไปมากกว่านี้มันน่าเสียดายที่รีบขายจัง”

หรือที่ขายไปแล้วก็นึกว่า “เพี้ยง ... ขอให้คนซื้อมันซื้อมาเรื่อยๆ นะ ยังระบายของออกไม่หมดเลย”

เนี่ยะ การเทรดหุ้นมันก็มีอารมณ์อย่างงี้ละ โดยเฉพาะสำหรับพวกวิ่งเข้าวิ่งออกช่วงสั้นๆ แต่ก็ต้องรับว่าการทำกำไร (หรือขาดทุน) ช่วงสั้นๆ มันเหมือนมีมนตรามหาระรวยมากำกับ

แต่มีคนมากขึ้นๆ ทุกทีในฝั่งตะวันตกที่มาถึงข้อสรุปเดียวกันว่า ที่บอกว่าตลาดหุ้นเป็นตลาดกระทิงนั้น มันเป็นเรื่องโกหกหลอกลวง และเป็นระบบที่มีคอร์รัปชั่น

 

 

เขาคิดถูก แต่ไม่ได้คิดถูกด้วยเหตุผลที่เขาคิด

 

 

ไปอ่าน Forbes กันหน่อย เพื่อดูว่า ทำไมทุนนิยมที่เรารู้จักกัน มันไม่เวิร์คแล้ว Forbes บอกว่า

 

 

“มีคนเพียง 0.1% เท่านั้นที่ได้กำไรจากการขายหุ้นและอสังหาริมทรัพย์ (Capital Gain) เกินครึ่งของ Capital Gain ทั้งหมดในสหรัฐ”

 

 

0.1% นี่มันแค่ 315,000 คนจากอเมริกันชน 315 ล้านคน

 

 

และ 0.1% นี่ละที่ทำกำไรได้เกินครึ่งของการขายหุ้นและอสังหาริมทรัพย์ทั้งประเทศภายในปีเดียว

 

 

และไอ้เจ้า Capital Gain อันนี้ละที่เป็นรายได้ถึง 60% ของรายได้ทุกชนิดที่ทำได้โดย 400 บริษัทใหญ่สุดในรายชื่อที่ Forbes 400

 

 

อู้ว ....

 

 

เฮ่ย อย่าเพิ่ง อู้ว ... ดิ อ่านต่อก่อน

 

 

มานึกกันก่อนว่าไอ้เจ้า 0.1% ของพวกอเมริกันนี่ มันคือใครกัน

 

 

พวกที่ Occupy Wall Street เรอะ คิม คาร์ดาเชียน ที่เพิ่งแต่งไม่กี่วันก็หย่าแล้ว เรอะ คือคนข้างบ้านเราที่เป็นครูอนุบาล เรอะ ฯลฯ

 

 

ก่อนจะหาคำตอบ เรากลับไปย้อนดูปี 2003 ที่อดีตประธานาธิบกีสหรัฐ จอร์ช บุช จูเนียร์ ออกกฏหมายยกเว้นการเก็บภาษีจาก Capital gain และเงินปันผล กันก่อน กฏหมายนี้ใครได้ประโยชน์ คำตอบก็อยู่ตรงนั้นแหละ

 

 

เมื่อเดือนพฤษภาคม 2003 จอร์ช บุช ลงนามให้ กฏหมายลดภาษีในการลงทุน มีผลบังคับใช้

 

 

กฏหมายนี้มีทั้งการลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ลดภาษีจากเงินปันผลจากเดิม 39.6% เป็น 15% และลดภาษีกำไรจากการขายหุ้นกับอสังหาริมทรัพย์จากเดิม 20% เป็น 15%

 

 

บุช ออกกฏหมายนี้ก็เพื่อจูงใจให้คนลงทุนในตลาดทุนของอเมริกามากขึ้น ต้องการให้ภาคธุรกิจมีการขยายการลงทุนมากขึ้น คนจะได้มีงานทำแล้วจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น และต้องการช่วยให้ตลาดหุ้นสหรัฐฟื้นตัวจากการตกต่ำซบเซาหลังจากสูญเสียมูลค่าตลาดไป 6 ล้านล้านดอลลาร์เนื่องจากฟองสบู่หุ้นเทคโนโลยีแตกโพละในช่วง 1999-2000 แถมยังโดนกระหน่ำด้วยเหตุการณ์ 9/11 จนไปไม่เป็น

 

 

ใช่ มันดูดีมาก ใครๆ ก็อยากให้รัฐลดภาษี ใช่ไหม และในขณะที่ลดภาษี ก็ต้องไม่ลดบริการและสวัสดิการภาครัฐด้วยนะเว่ย

 

 

เหมือนที่เราชอบบอก เฮียเม้ง ที่ขายข้าวมันไก่ว่า “เฮีย ข้าวมันไก่ พิเศษ ห่อนึง ข้าวเท่าเดิม ไก่เยอะๆ แต่อั๊วจ่าย 20 บาทนะ ไม่จ่าย 35 บาทแล้ว”

 

 

เฮียไม่เอาปังตอสับคอเราก็บุญแล้ว

 

 

แต่นักการเมือง ไม่ใช่เฮียเม้ง

 

 

เฮียเม้งจะขายข้าวมันไก่หรือจะไม่ขายเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่ได้อาศัยลูกค้าให้มาเลือกตั้งทุก 4 ปี แต่นักการเมืองไม่มีทางเลือก เพราะทุก 4 ปีต้องให้ลูกค้าเลือกเขาเข้ามาบริหารประเทศ

 

 

ดังนั้น อะไรๆ ที่ดูดีต่อกระเป๋าของลูกค้า ย่อมทำให้โอกาสเข้ามาบริหารประเทศสูง จริงมะ

 

 

ผู้ได้ประโยชน์จากกฏหมายนี้ น่าจะเป็นทุกคนที่ลงทุน ทั้งภาคธุรกิจ และภาคลงทุนในตลาดทุนอันรวมผู้คนทั่วไปด้วย แต่มันกลับเป็นว่ารวยกระจุก จนกระจุย

 

 

บริษัทใหญ่ๆ และคนรวยไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้ความมั่งคั่งจากการลดภาษีนี้ รวมถึง Hedged Funds ทั้งหลาย ที่บูมสนั่นหลังกฏหมายนี้มีผลบังคับใช้

 

 

ดูได้จาก It's crystal clear that the Bush tax reduction on capital gains and dividend income in 2003 was the cutting edge policy that has created the immense increase in net worth of corporate executives, Wall St. professionals and other entrepreneurs.Capital Gain ที่เป็นรายได้ถึง 60% ของรายได้ทุกชนิดที่ทำได้โดย 400 บริษัทใหญ่สุดในรายชื่อที่ Forbes 400

 

 

Capital gain tax นั้นเดิมทีก่อนปี 1978 มันเท่ากับ 35% แล้วก็ลดเป็น 28% ด้วยเหตุผลที่ต้องการผลักดันเศรษฐกิจและตลาดทุนให้ฟื้นขึ้นจากสภาพซบเซา

 

 

และในยุคของประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน มันก็ถูกลดลงมาด้วยเหตุผลเดียวกันไปอีก เหลือ 20% ในปี 1981

 

 

พอถึงวันที่ 19 ตุลาคม 1987 ก็เพิ่มขึ้น 8% เป็น 28% ซึ่งทำให้ตลาดหุ้นช่วงนั้นฮวบฮาบลงมาถึง 23%

 

 

พอถึงปี 1997 ประธานาธิบดี บิล สามียัยฮิลลารี คลินตัน ก็ยอมลดลงมาเหลือ 20% อีกครั้ง ซึ่งช่วงนี้แหละที่ทำให้ Hedge Funds ทั้งหลายกับพวก Private Equity บูมสนั่น และเป็นจุดที่เร่งความมั่งคั่งให้ไปกระจุกอยู่ที่พวก 0.1% ของคนทั้งประเทศ

 

 

ทุกประธานาธิบดีที่ลดภาษีชนิดนี้จะบอกเหตุแห่งการลดภาษีว่าเพื่อทำให้เกิดความมั่งคั่ง

 

 

ใช่ ไม่ผิดเลย มันเกิดความมั่งคั่งจริง

 

 

แต่ความมั่งคั่งนั้นทำไมมันไปอยู่ที่คนเพียง 0.1% เท่านั้น ทำไมกลุ่มนี้ได้กำไรจากการขายหุ้นและอสังหาริมทรัพย์ (Capital Gain) เกินครึ่งของ Capital Gain ทั้งหมดในสหรัฐภายในปีเดียว โดยคน 0.1% นี่มันแค่ 315,000 คนจากอเมริกันชน 315 ล้านคน !!

 

 

และหากเอาไปเทียบกับรายได้ทุกประเภทของประเทศแล้ว พวกอภิมหารวย 0.1% มีส่วนแบ่งในรายได้นั้นถึง 25% ซึ่งสูงกว่าตัวเลขของทุกประเทศใดใดในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมในช่วง 1979-2005

 

 

ไม่นานเกินรอเราคงได้เห็นว่าพวก 0.1% นี้มีใครบ้าง เพราะสื่อมวลชนคงจะตามเรื่องนี้แบบกัดติด แล้วคงจะมีม็อบไปชี้หน้าด่าพวกเขาว่าไอ้พวกเศรษฐีเห็นแก่ตัว

เออ คนจะรวยมันผิดตรงไหนฟะ หรือต้องจนให้เหมือนกันทุกคน มันถึงจะดี

ไม่ผิดเลยที่จะรวย แม้กระทั่ง Capital Gain tax ที่ 15% ก็ไม่ผิด และผู้ลงทุนก็ช้อบชอบ ซึ่งจะชอบมากกว่านี้ด้วยหากลดลงมาเหลือ 0% จริงป่ะล่ะ

แต่เมื่อคนตกทุกข์ได้ยาก ก็เป็นธรรมดาที่จะต้องหาแพะ และมันง่ายที่จะชี้เป้าไปที่คนรวยๆ ว่าแกนั่นแหละต้นเหตุที่ทำให้ข้าเดือดร้อน

ก็คนพวกนี้เขาจะไม่เคยหาสาเหตุที่แท้จริงหรอก เพราะมันต้องใช้สมองมากไปซึ่งไม่ถนัด ต้องใช้เวลามากไปซึ่งไม่บันเทิง สู้ไปเย้วๆ ชี้หน้าด่าคนรวย แล้วข่มขู่เรียกร้องจากรัฐบาลมืออ่อนให้โปรยเงินในรูปแบบต่างๆ มาให้ตัวเองไม่ได้ มันง่ายกว่ากันเยอะ แถมยังเท่ซะไม่มี

ใช่แล้ว ระบบถูกคอร์รัปชั่นครอบงำจนตกต่ำลงไปทุกที

แต่สาเหตุไม่ได้มาจากพวกรวยๆ 1% ที่พวก 99% ซึ่งไป Occupy Wall Street ร้องด่า ทั้งยังไม่ได้มาจากพวก 0.1% ที่ได้ประโยชน์จากการลดภาษี capital gain ด้วย และมันก็ไม่ได้มีเหตุมาจากการผ่อนคลายกฏระเบียบของธนาคารกลาง ไม่ได้มาจากการลดภาษี ไม่ได้มาจากพวก CEO เป็นคนโลภ (ทำธุรกิจหากไม่มีความโลภบ้าง จะทำธุรกิจจนมีกำไรได้อย่างไรล่ะ) และมันก็ไม่ได้เป็นเพราะระบบทุนนิยมมันห่วยแตก

เออ เว้ย แล้วมันเป็นเพราะอะไรล่ะ

เดี๋ยวสิ ใจเย็นๆ เรื่องนี้ไม่ง่ายนัก ก็ขนาด Forbes ตามที่กล่าวไว้ข้างต้นยังเข้าใจผิดไปโทษพวก 0.1% เลย แล้ว Wall Street Journal ก็ยังไปไม่ถูกจุดเลยนี่ อย่าไปน้อยอกน้อยใจว่าทำไมเราโง่ (อันนี้หลอกด่า)

Wall Street Journal ลงข่าวว่า “ทุนนิยมที่เรารู้จัก ไม่เวิร์คแล้ว” แล้วก็ลงอีกบทความนึงว่า “โมเดลแบบจีนเจ๋งกว่าระบบตลาดเสรีที่อเมริกาใช้”

อู้ว .... หรือว่าอเมริกาอยากจะเป็นคอมมูนิดขึ้นมาละทีนี้

บทความใน Wall Street Journal อันนี้เขาเปรียบเทียบ ตลาดเสรีที่มีการโมดิฟายด์ (Modified market) กับ ตลาดเสรีแบบดั้งเดิมตามทฤษฎี (Free market) โดยผู้เขียนบทความสรุปปัญหาว่าเป็นเพราะ อเมริกาขาดความสามารถในการวางแผนและควบคุม เมื่อเทียบกับจีน ถึงได้ล้มเหลว สู้จีนไม่ได้ เพราะจีนมีการใช้ทุนนิยมไปผสมผสานกับคอมมูน ก็โมดิฟายด์นั่นแหละ โดยมีอำนาจควบคุมทั้งระบบเต็มที่

อาฮะ นั่นน่ะหรือคือสิ่งที่อเมริกันต้องการ

หรือคนอเมริกันต้องการให้มีแผนจากศูนย์กลางอำนาจมากขึ้น เท่าที่มีทุกวันนี้ยังไม่พออีกเรอะ

หรือว่าต้องการให้มีอำมาตย์กับชนชั้นปกครองมาชี้นิ้วสั่งให้เราดำเนินชีวิตอย่างไรมากขึ้น จะได้มีเปรตคอยขอส่วนบุญประชานิยมมากขึ้น เอางั้นเรอะ

มันน่าผิดหวังมากในช่วงวิกฤติเลห์แมนถึงวิกฤติซับไพรม์ในช่วงปี 2008-2009 ที่เราสามารถรอดพ้นวังวนด้วยการออกไปยืนห่างๆ ให้พ้นจากศูนย์กลางวิกฤติและไม่เสียงกับการโดนหางเลข แต่ก็มีคนจำนวนมากที่กระโดดลงไปในวังวนเพราะความโลภ แต่ทำไมคนฆ่าตัวตายจากวิกฤตินั้นแทบไม่มี คนที่ควรถูกตำหนิด่าว่าก็มีน้อย

 

บางคนอาจจะเถียงว่าที่ไม่มีคนกระโดดตึกตายจากวอลสตรีทก็เพราะหน้าต่างมันล็อคแล้วทุกตึก

เออ ไอ้เบื๊อก

ความจริงที่ไม่มีเหตุการณ์อย่างนั้นก็เพราะว่า ทุกคนรู้ว่า “ทุกปัญหามันจะมีคนแก้”

นี่ไงคำตอบ “ทุกปัญหามันจะมีคนแก้”

ถ้าเราเชื่อและทำตามระบบทุนนิยมเสรี จะลดภาษี จะขึ้นภาษี ก็ว่ากันไป ใครจะรวย ใครจะจน ก็ว่ากันไป ใครจะเจ๊ง ก็ต้องปล่อยไป ใช่ไหม

ถ้าเราทำตามนั้น ไม่โมดิฟายด์ระบบ ทุนนิยมเสรีก็จะกวาดล้างแบงค์ที่ไปไม่ไหว กวาดล้างคนอ่อนแอ คนไม่สามารถให้หลุดพ้นออกไปหลังวิกฤติครั้งไหนๆ รวมถึงวิกฤติในปี 2008-2009

ซึ่งหากเรายอมให้ระบบมันทำงานของมัน ดัชนีดาวโจรอาจลงไปอยู่ที่ 6000 ไปแล้ว ไม่ใช่ระดับเป็นหมื่นอย่างวันนี้ และคนรวยๆ ก็จะเจ๊งไปสัก 10 ล้านล้านดอลลาร์ ต้องล้มละลาย ธุรกิจที่แข่งขันไม่ไหว หรือเน่าเฟะเพราะความโลภอย่างแบงค์ใน Wall Street ก็จะเจ๊ง ต้องผิดตัว ล้มละลาย ขายทรัพย์สิน เปลี่ยนมือ ฯลฯ

หากระบบทุนนิยมเสรี ทำงานอย่างเสรีแบบที่มันควรจะเป็น เราจะไม่เห็น Bank of America หรือ Goldman Sachs ออกมาผงาดในยุทธจักร Wall Street ให้คนหมั่นไส้กันอีก เพราะมันต้องล้มหายตายจากไป

นั่นคือจุดหมายปลายทางของวิกฤติในระบบทุนนิยมเสรี ซึ่งวิกฤติเกิดขึ้นก็คือเพื่อกันคนโง่ คนไร้สามารถ โดยเฉพาะคนโง่แต่รวย ให้ออกไปจากเงิน เพราะคนรวยย่อมเสียเงินมากกว่าคนจนๆ เนื่องจากเขามีเงินมากมายที่จะให้เสีย

 

ใครๆ ก็อยากรวย อยากมีอำนาจ อยากมีสถานะที่ได้รับการยอมรับในสังคม เพียงแต่คนรวยๆ มีโอกาสกว่าคนจนที่จะได้รับทั้ง 3 อย่างนี้

แต่พวกเปรตขอส่วนบุญมักต้องการไปถึงมันอย่างง่ายดายที่สุดและเร็วที่สุด

การไปให้ถึงได้ง่ายที่สุด เร็วที่สุดไม่มีอะไรดีไปกว่าการปล้นมันไปจากคนอื่น

คนรวยๆ ได้เงินปันผล ได้กำไรจากการขายหุ้น นักการเมืองได้ส่วนแบ่งใต้โต๊ะ และได้เงินสนับสนุนแคมเปญพรรคจากคนรวยๆ

ชนชั้นกลางตกงาน หนี้ท่วมหัว บ้านโดนยึดซึ่งในไม่ช้าจะต้องโดนขายทอดตลาดราคาถูกๆ ไปให้คนรวย และชนชั้นกลางก็สูยเสียมาตรฐานที่ดีในการดำรงชีวิต

 

นั่นละ สิ่งที่รัฐบาลในประเทศทุนนิยมโมดิฟายด์ทำกัน

รัฐบาลอเมริกันยอมให้คนรวยได้ แต่เมื่อคนรวยๆ เช่นแบงค์ทำพลาดจาก Subprime และ CDOs แทนที่จะปล่อยให้กลไกทุนนิยมเสรีทำงาน รัฐบาลอเมริกันกลับไปฆ่าตัดตอนระบบทุนนิยมเสรีด้วยการอุ้มคนรวยด้วยการสนับสนุนตลาดหุ้นกับอสังหาริมทรัพย์ผ่านการอัดฉีดเงินดอกเบี้ยต่ำสุดๆ อย่างไม่ควรเป็นลงไปในระบบแบงค์ ผ่าน QE 1, QE2, QE3, … QEn และแบงค์ก็ไม่ยอมเอาเงินนั้นไปปล่อยกู้ต่อสาธารณชนซึ่งกำลังลำบาก เพราะหากปล่อยกู้ก็จะเกิดผลดีต่อกระเป๋าเงินคนในวงกว้าง ซึ่งเป็นผลเสียต่อการปล้นโอกาสที่จะรวยมากขึ้น

สิ่งที่แบงค์ทำก็คือ เอาเงินกู้ราคาถูกของลุงเบนที่พิมพ์มาอัดฉีดระบบ ไปเก็งกำไรในสินทรัพย์เสี่ยง เช่นหุ้น

คนรวยๆ ที่พลาดพลั้ง ธุรกิจที่ไปไม่ไหวแล้วเช่นอุตสาหกรรมรถอเมริกันที่ไม่ทันสมัย ผลิตรถไม่ประหยัดพลังงานกลับได้รับการโอบอุ้ม แทนที่คนอเมริกันจะได้ใช้รถดี ราคาถูกกว่า ประหยัดน้ำมันกว่า ก็ต้องใช้รถราคาแพงเพราะรัฐบาลไปอุ้มอุตสาหกรรมรถ

แล้วมันทุนนิยมเสรีที่ตรงไหน คนที่เสียประโยชน์และจนลงไปทุกวันเพราะโดนปล้นความมั่งคั่งไปก็คือประชาชน

ทำไมรัฐบาลต้องช่วยคนพวกนั้นล่ะ

นั่นสิ ทำไม

ลองไปดูสิว่าใครส่งเงินสนับสนุนพรรคการเมือง นั่นคือคำตอบ

พวก Wall Street ทั้งนั้นเลยที่อยู่ใน Top List ที่จ่ายให้พรรคการเมืองมากที่สุด

ดังนั้น จึงไม่แปลกหรอกที่นักการเมืองจะสนับสนุนกฏหมายและการกระทำที่ช่วยคนรวย

อย่างนี้ละคอร์รัปชั่น และเป็นคอร์รัปชั่นระดับชาติที่กระทำโดยภาครัฐเลยทีเดียว

เพราะเมื่อแบงค์จะล้ม รัฐบาลก็ฉ้อฉลด้วยการเอาภาษีประชาชนไปช่วยอุ้ม จนงบประมาณรัฐปิดหีบไม่ได้ ต้องกู้ และกู้ๆๆๆ มาใช้

พอแบงค์ยืนได้ แทนที่จะปล่อยกู้ให้ประชาชน กลับไปยึดบ้านเขา ปล่อยให้เขาไปกางเต๊นท์นอนน่าอนาถทั่วกรุง ทั้งๆ ที่บ้านที่ยึดมานั้นมันขายไม่ออก หยากไย่เพียบ เนรคุณเห็นๆ

พอสิ้นปี แบงค์ก็ Merry Christmas ให้กับตนเองด้วยโบนัสจำนวนน่าขนลุก แล้วแบ่งเงินส่วนนึงไปสนับสนุนพรรคการเมือง ส่วนประชาชนที่โดนปล้นความมั่งคั่งไปก็ต้องนอนหนาวสั่น อดอยาก หิวโหย ร้องไห้กันทุกคืนในเต๊นท์กันต่อไป และไม่มีคริสมาสสำหรับคนจน

พวก Hedge Fund ทั้งหลายก็พลอยฟ้าพลอยฝนจากการเสกแบงค์เข้าระบบของลุงเบนไปด้วย กำไรถ้วนหน้า

แต่มวลชนไม่เคยแสวงหาความจริง เขารู้แต่ว่าเขาโดนทอดทิ้ง แต่เพราะอะไรเขาไม่รู้ และไม่ค่อยสนใจหาความจริง เขาเพียงแต่แสดงความโกรธแค้น แล้วชี้ไปที่คนรวย

สิ่งที่มวลชนทำคือ Occupy Wall Street

ทำไมถึงไม่ไป Occupy รัฐสภา ทำเนียบขาว ที่ Washington DC ล่ะ

มาดูอีกตัวอย่างนึงของการต่อยอดคอร์รัปชั่นด้วยการปิดปากคนรู้ทัน

 

เหตุการณ์ที่รัฐบาลส่งทหารอเมริกันไปรบนอกประเทศอย่างอิรัค อาฟกานิสถาน มันแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลและกองทัพคิดแต่จะจัดการกับพวกผู้ก่อการร้ายเท่านั้น แต่ไม่เคยเรียนรู้ที่จะชนะในสงครามที่แท้จริงเลย แล้วในวันนี้รัฐบาลก็เริ่มชี้ว่าพวกผู้ก่อการร้ายกำลังอยู่ในตะวันออกกลาง (ในไม่ช้าก็คงจะไปอยู่ที่ตะวันตกกลาง อยู่ที่นั่น อยู่ที่นี่ ฮ่าๆๆๆ)

แต่ตอนนี้ รัฐบาลเริ่มมองว่าผู้ก่อการร้ายที่แท้จริงคือคนอเมริกันที่อยู่ในประเทศแล้ว

Business Insider รายงานว่า....

“กฏหมายใหม่เรื่อง การป้องกันภัยแห่งชาติ (National Defense Authorization Act) มันน่ากลัวมาก เพราะในปลายสัปดาห์นี้รัฐบาลสหรัฐมีแนวโน้มว่าจะผ่านกฏหมายฉบับนี้ ที่จะสามารถขังพวกเราชาวอเมริกันคนไหนก็ได้ตลอดชีวิตไว้ในคุกกวนตานาโม หรือในคุกลับของฐานทัพที่ไหนก็ได้ โดยไม่ต้องตั้งข้อกล่าวหา ไม่ให้มีทนาย และไม่มีการต่อสู้ในชั้นศาลตามกระบวนการยุติธรรม หากมันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการก่อการร้าย”

มันแปลว่าอะไรล่ะ

 

 

นั่นก็คือ คนอเมริกันจะไม่มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน พร้อมสิ้นเสรีภาพไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว รัฐบาลสามารถทำอะไรกับคุณก็ได้ โดยชี้หน้าว่า “แก ไอ้พวกผู้ก่อการร้าย ไอ้ตัวภัยต่อความมั่นคง”

 

 

โห ..... นี่มันย้อนไปในยุค 6 ตุลา ในประเทศไทยเลยนะนั่น

 

 

ต่อไปผู้ชุมนุมประท้วงอย่างสงบ อหิงสา ผู้เขียนบทความตีแผ่ความจริงเกี่ยวกับรัฐบาลในเรื่องคอร์รัปชั่น หรือในเชิงลบ จะโดนข้อหาผู้ก่อการร้าย ผู้เป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ แล้วโดนจับไปยัดคุกตลอดชีวิตโดยไม่ต้องไต่สวน ไม่ให้มีทนาย ไม่ให้ขึ้นศาล

 

 

มันเป็นไปได้อย่างไรที่คนอเมริกันซึ่งเป็นประเทศเสรีที่สุดกลับยอมให้ตัวเองตกอยู่ในสภาวะแบบนี้

 

 

นี่ละจุดเริ่มต้นของคอร์รัปชั่น และจุดจบของทุกอย่าง

 

 

คอร์รัปชั่นจะนำไปสู่ความไม่พอใจ

 

 

ความไม่พอใจจะนำไปสู่การจราจล

 

 

และการจราจลจะนำไปสู่ความเจ็บปวด

 

 

 

 

(คราวหน้าจะต่อด้วยเรื่อง คอร์รัปชั่นกับ Insider Trading ซึ่งจะเจาะลึกในกรณีอุ้มแบงค์)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณสำหรับข่าวของคุณส้มโอมือมากเลยครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

อียูบนเส้นทางแห่งการแตกแยกแก้หนี้ยาก ซ้ำสมาชิกส่ายหน้า

  • 13 ธันวาคม 2554 เวลา 08:03 น. |

บทสรุปหนึ่งที่นักลงทุนและบรรดาผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลกมองเห็นตรงกัน

 

 

โดย...ทีมข่าวต่างประเทศ

บทสรุปหนึ่งที่นักลงทุนและบรรดาผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลกมองเห็นตรงกัน จากการประชุมสุดยอดผู้นำในกลุ่มสหภาพยุโรป (อียู) ก็คือข้อตกลงที่ชัดเจนเข้มงวดมากขึ้น และเป็นผลดีต่อการเป็นสหภาพที่ใช้สกุลเงินเดียวร่วมกันในระยะยาว

ทว่า ทั้งหมดทั้งมวลที่เกิดขึ้น กลับไม่ได้ทำให้นักลงทุนทั่วโลกใจชื้นได้มากนัก เพราะสิ่งที่บรรดาผู้นำอียูแสดงให้โลกได้เห็นในครั้งนี้ กลับไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาวิกฤตเร่งด่วนอย่างหนี้สาธารณะของภูมิภาคในปัจจุบันให้หมดไป

ขณะเดียวกัน ที่ประชุมกลุ่มสหภาพยุโรปยังผลสะท้อนให้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่หวั่นใจขึ้นมากไปอีก ว่าสถานะการเป็นสหภาพยุโรปอาจไปไม่รอด เหมือนที่บรรดาผู้นำอียูหลายๆ ประเทศคาดหวัง

เพราะความแตกแยกทางความคิดและแนวทางในการแก้ไขปัญหา ในหมู่ประเทศสมาชิกค่อนข้างร้าวลึกเกินกว่าที่จะคิดได้ ว่าแต่ละประเทศสมาชิกจะยินดีพร้อมใจร่วมมือกันอย่างแนบสนิทไม่ติดขัด

7C2E6092092347199D5B5B25DBC2E1C8.jpg

ทั้งนี้ สิ่งที่เยอรมนีและฝรั่งเศสหัวเรือใหญ่ที่รับบทบาทแก้วิกฤตในครั้งนี้ต้องการก็คือ การให้แต่ละประเทศสมาชิกระบุข้อบัญญัติเข้าไปในกฎหมายให้ชัดเจนไปเลย ว่าส่วนกลางของอียูมีสิทธิตรวจสอบดูแลการคลังของประเทศสมาชิกอย่างเข้มงวด

ขณะเดียวกันส่วนกลางก็มีสิทธิแทรกแซงอัตโนมัติ หากเห็นว่าประเทศสมาชิกมีการขาดดุลเกินเพดาน 3% ที่กำหนด

เรียกได้ว่าเป็นข้อตกลงที่ให้อำนาจกับส่วนกลางในการบังคับใช้บทลงโทษควบคู่ไปกับการยื่นมือเข้าช่วยเหลือ เช่น การให้เงินได้อย่างทันท่วงที

อย่างไรก็ตาม ความมีระเบียบวินัยทางการคลังที่เยอรมนีและฝรั่งเศสต้องการถึงขั้นเดินหน้าผลักดันให้ชาติสมาชิก 23 ประเทศลงนามตกลงยอมรับในหลักการนี้ เอาเข้าจริงแล้วก็เป็นประเด็นเก่าๆ ที่มีอยู่ก่อนแล้ว เพียงแต่ไม่ได้รับการใส่ใจที่จะปฏิบัติตามจริงๆ เท่านั้น

และแม้จะเป็นข้อตกลงที่ดีดูในแง่ที่ว่าช่วยให้ประเทศสมาชิกรักษาวินัยทางการคลังได้มากขึ้น แต่แนวทางดังกล่าวสำหรับอังกฤษที่ค่อนข้างมีระบบระเบียบทางการคลังที่ชัดเจนเป็นเอกเทศและแข็งแกร่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

ข้อตกลงที่มีขึ้น ไม่ต่างอะไรกับการบอกอังกฤษให้เปิดประตูต้อนรับคนนอกให้เข้ามายุ่มย่ามงานบริหารภายในบ้านตนเอง และบางครั้งถึงขนาดชี้นิ้วสั่งให้ช่วยเหลือคนนอกที่กำลังลำบาก เพราะผลพวงจากความไม่มีระเบียบวินัยของตนเอง

เรียกได้ว่า ไม่ว่าจะมองมุมไหนสำหรับอังกฤษแล้ว ก็เป็นข้อตกลงที่ไม่ยุติธรรม จนอังกฤษต้องขอใช้สิทธิยับยั้งวีโตเป็นครั้งแรก

ในสายตาของนักวิเคราะห์ การใช้สิทธิของอังกฤษก็ไม่ต่างอะไรกับการบอกให้สมาชิกรายอื่นๆ รู้ว่า อังกฤษไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการแก้ไขปัญหาที่ต้องนำผลประโยชน์ของชาติมาเสียสละ

และกลายเป็นคำถามให้กับประเทศสมาชิกที่เหลือ โดยเฉพาะประเทศที่มีเศรษฐกิจแข็งแกร่ง แต่ไม่ได้ใช้เงินสกุลยูโรอย่างสวีเดนหรือเดนมาร์กต้องคิดหนัก

เพียงแต่แทนที่จะตอบปฏิเสธตรงๆ ประเทศเหล่านี้เลือกที่จะประนีประนอม ด้วยการโยนเข้ารัฐสภาของประเทศตนเองให้ตัดสินใจแทน ซึ่งไม่แน่ว่าผลที่ได้อาจเป็นการตอบปฏิเสธในที่สุด

นอกจากนี้ การบอกปัดของอังกฤษไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีนักในสายตาของประเทศสมาชิก เพราะสะท้อนให้เห็นความไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของภูมิภาค ที่มีพื้นฐานที่ค่อนข้างแตกต่างกันอย่างชัดเจนอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจและสังคม

หรือพูดได้อีกอย่างว่า เป้าหมายที่จะกลายเป็นเงินสกุลเดียวของภูมิภาคยุโรปจะเป็นเพียงเรื่องชวนฝัน

ขณะเดียวกันสิ่งที่อียูต้องการอย่างยิ่งยวดในขณะนี้ไม่ใช่เรื่องการจัดระบบระเบียบ แต่เป็นเรื่องของการฟื้นฟูความเชื่อมั่นจากนักลงทุน

หรือก็คือกลยุทธ์มาตรการในการจัดการปัญหาหนี้สาธารณะในประเทศต่างๆ ที่นับวันก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น และแพร่กระจายลุกลามครอบคลุมประเทศต่างๆ ในภูมิภาคมากยิ่งขึ้น

เริ่มจากประเทศเศรษฐกิจขนาดเล็กอย่างกรีซ ไอร์แลนด์ โปรตุเกส จนถึงประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่อย่างอิตาลีและสเปน

สำหรับคำถามสำคัญที่อียูจำต้องตอบนักลงทุนทั่วโลกให้ได้เร็วที่สุดก็คือ การให้เงินช่วยเหลือ จำนวนเงินช่วยเหลือ ที่มาของเงินช่วยเหลือ และหน่วยงานที่จะเข้าไปมีอำนาจดูแลให้ความช่วยเหลือ ตลอดจนวิธีป้องกันภาคธนาคารนอกเหนือไปจากมาตรการรัดเข็มขัด

เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นการตอกย้ำให้นักลงทุนมั่นใจว่าเงินที่ลงทุนด้วยการให้รัฐบาลของประเทศเหล่านี้กู้ยืมไปนั้นไม่ได้หายไปไหน และมีหนทางที่จะงอกเงยเติบโตทำกำไรต่อไปได้ในอนาคต

ทว่าเอาเข้าจริงแล้ว ปัญหาเหล่านี้ก็ยังคงคาราคาซัง เนื่องมาจากบรรดาประเทศสมาชิกทั้งหลาย หรือแม้กระทั่งหัวเรือใหญ่อย่างเยอรมนี หรือฝรั่งเศสเองก็ไม่สามารถตกลงหาทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่ายได้

เนื่องมาจากว่าสมาชิกของอียูแต่ละประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่ยังไม่มีปัญหา ก็จำต้องกลายมามีปัญหา เพราะต้องร่วมแบกรับปัญหาที่ตนเองไม่ได้ก่อ เหตุเพราะอยู่เป็นกลุ่มเดียวกัน

คำถามก็คือ ประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของประเทศตัวจริง จะยอมอดทนและยอมลำบากเพื่อให้รัฐบาล หรือผู้นำประเทศของตนเองอ้าแขนรับเอาปัญหามากอดไว้ด้วยหรือไม่

แน่นอนว่าสิ่งที่นักลงทุนทั่วโลกเห็นและนักวิเคราะห์ทั่วโลกรู้สึกได้ก็คือ คำว่า ไม่!

ทั้งนี้ บรรดานักวิเคราะห์ต่างเห็นตรงกันว่า ตราบใดก็ตามที่อียูยังไม่สามารถหาทางออกให้กับปัญหาหนี้ที่นำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยของภูมิภาคโดยรวมได้ โอกาสที่อียูจะแตกแยกออกจากกันก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น

เพราะเมื่อรวมกันแล้ว “เอาไม่อยู่” ก็ต้องแยกกันอยู่ เพื่อต่างคนต่างรอด

ถูกแก้ไข โดย ส้มโอมือ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

อ่านแล้วเศร้า ขอบคุณครับ คุณส้มโอมือ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

โอบามาเซ็นรับรองกม.งบประมาณ ลุ้นฝ่าด่านคองเกรสผ่านร่างลดภาษี blank.gif โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 ธันวาคม 2554 21:55 น

เอเจนซีส์ – “โอบามา” ลงนามรับรองกฎหมายงบประมาณรายจ่ายมูลค่าร่วมๆ 1 ล้านล้านดอลลาร์ ส่งผลให้หน่วยงานรัฐบาลรอดหวุดหวิดจากการต้องปิดทำการเพราะไม่มีเงินใช้จ่าย กระนั้น ประธานาธิบดีสหรัฐฯก็ยังคงเหลือโจทย์ยากในสภาดักหน้าการเลือกตั้งปลายปี 2012 เกี่ยวกับมาตรการลดหย่อนภาษีเงินเดือนที่ถูกพ่วงกับการพิจารณาโครงการท่อส่งน้ำมันจากแคนาดา

รัฐสภาสหรัฐฯ เร่งพิจารณากฎหมายงบประมาณรายจ่ายฉบับนี้แข่งกับเวลา เนื่องจากงบประมาณสำหรับหน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาลจะหมดลงภายในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และอาจทำให้ต้องปลดข้าราชการออก โดยในวันเสาร์ (17) ปรากฏว่าวุฒิสภาได้ผ่านร่างกฎหมายฉบับนี้อย่างทันเวลา และโอบามาก็รีบลงนามบังคับใช้

วุฒิสภายังได้ลงมติอนุมัติร่างกฎหมายขยายเวลาการลดหย่อนภาษีของรายได้จากเงินเดือน ทว่าให้ยืดเวลาออกไปอีก 2 เดือน จากที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา เรียกร้องให้ขยายออกไป 1 ปีเต็ม เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทำให้ต้องมีการพิจารณาเรื่องนี้กันอีกรอบต้นปีหน้า ซึ่งเป็นช่วงที่แคมเปญหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีและสมาชิกรัฐสภายิ่งทวีความเข้มข้น

“คงเป็นเรื่องที่อภัยให้ไม่ได้ หากคองเกรสไม่ขยายมาตรการลดภาษีชนชั้นกลางนี้ต่อไปจนถึงสิ้นปีหน้า” โอบามากล่าวภายหลังการลงนามประกาศใช้กฎหมายงบประมาณรายจ่ายมูลค่ารวม 915,000 ล้านดอลลาร์ ที่จะเพิ่มการอัดฉีดกระทรวงกลาโหม แต่ลดงบประมาณที่ให้แก่สำนักงานป้องกันสิ่งแวดล้อม กระทรวงศึกษา และกระทรวงสาธารณสุข รวมถึงกิจกรรมอื่นๆ ของรัฐบาล

ทั้งทำเนียบขาวและนักเศรษฐศาสตร์เอกชนหลายคนเตือนว่า เศรษฐกิจอเมริกาอาจได้รับผลกระทบอย่างจังในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน หากรัฐบาลไม่สามารถต่ออายุมาตรการลดภาษีที่จัดเก็บจากรายได้จากเงินเดือนนี้ให้มีผลบังคับใช้ตลอดปีหน้าได้

ทว่ าส.ว. มิตช์ แมกคอนเนลล์ ผู้นำเสียงข้างน้อยของพรรครีพับลิกันในสภาสูง ดักคอว่า “เพื่อให้ได้บางอย่าง คุณต้องยอมประนีประนอมด้วยเหมือนกัน”

ทั้งนี้ ร่างกฎหมายขยายเวลาลดภาษีที่ผ่านวุฒิสภาไปแล้วนั้น ฝ่ายรีพับลิกันได้ผลักดันให้บรรจุข้อความซึ่งทำให้ประเด็นเรื่องการสร้างท่อส่งน้ำมันคีย์สโตน เอ็กซ์แอลของทรานส์แคนาดา จากแคนาดาสู่อ่าวเม็กซิโกในบริเวณมลรัฐเทกซัส กลับมาเป็นวาระทางการเมืองอีกครั้ง

โอบามาได้พยายามเลื่อนการตัดสินใจโครงการนี้ ซึ่งเสี้ยมนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมชนกับสหภาพแรงงานและกลุ่มผลประโยชน์ธุรกิจ โดยที่ทั้งสองข้างต่างเป็นฐานการเมืองของเขา ดังนั้นเขาจึงบอกปัดเลื่อนการตัดสินใจนี้ ออกไปจนถึงหลังการเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายนปีหน้าที่เขาหวังว่า จะได้ครองทำเนียบขาวสมัยที่ 2

ทว่า ในร่างกฎหมายที่ผ่านวุฒิสภา มีข้อความกำหนดให้กระทรวงการต่างประเทศต้องออกใบอนุญาตให้โครงการคีย์สโตนภายใน 60 วัน หรือไม่เช่นนั้นโอบามาก็ต้องประกาศว่าโครงการนี้ไม่ใช่ผลประโยชน์ของประเทศ ซึ่งจะเท่ากับเป็นการจุดชนวนระเบิดทางการเมือง เนื่องจากรีพับลิกันจะโจมตีทันทีว่า โอบามาปฏิเสธโอกาสในการสร้างงาน 20,000 ตำแหน่งในขณะที่อัตราว่างงานพุ่งสูงและที่สำคัญยังเป็นปีเลือกตั้งใหญ่อีกด้วย

ยังไม่เป็นที่แน่นอนว่า ร่างกฎหมายลดหย่อนภาษีผู้กินเงินเดือน พ่วงด้วยการบังคับให้ตัดสินใจโครงการท่อส่งน้ำมันนี้ จะสามารถผ่านสภาผู้แทนราษฎรได้หรือไม่ โดยที่ทั้งสองพรรคใหญ่ยังคงสาดโคลนป้ายผิดกันอย่างหนักหน่วง

เด็บบี้ วัสเซอร์แมน ชูลซ์ ส.ส. เดโมแครต บอกว่า สมาชิกเดโมแครตในสภาล่างจะสนับสนุนมาตรการลดภาษี แต่โจมตีว่า คำแปรญัตติเกี่ยวกับโครงการท่อส่งน้ำมันเป็นความผิดพลาดของรีพับลิกัน เนื่องจากการบังคับให้คณะรัฐบาลทบทวนโครงการนี้ภายในเวลาแค่ 2 เดือนแทนที่จะเป็นหนึ่งปี อาจทำให้โครงการนี้ล่ม

ขณะเดียวกัน เพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวที่เฉื่อยชา โอบามาขอให้คองเกรสขยายมาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับพนักงานคนละ 1,500 ดอลลาร์ต่อไปอีก 1 ปี

อนึ่ง สภาผู้แทนราษฎรซึ่งอนุมัติร่างกฎหมายงบประมาณรายจ่ายร่วม 1 ล้านล้านดอลลาร์ไปแล้วตั้งแต่ก่อนหน้านี้ อาจเริ่มพิจารณาร่างกฎหมายลดภาษีที่ผ่านวุฒิสภามาแล้วกันในวันจันทร์ (19) ซึ่งจะเป็นช่วงเวลาการประลองกำลังอย่างดุเดือดยกใหม่ระหว่างทำเนียบขาวกับรีพับลิกัน

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ใครต้องการซื้อเหรียญ UNDPที่ราคา1800บาทบ้าง ติดต่อหลังไมค์ครับ คือช่วงที่ผมซื้อเหรียญUNDP เพื่อนผมเข้าซื้อด้วยจำนวนเยอะ ช่วงนี้เขามีรายได้น้อยไปเยอะและต้องซ่อมบ้านเนื่องจากน้ำท่วม เขาจะขายเหรียญผมเลยบอกเขาว่าเพื่อนในเวปน่าจะสนใจหลายคน จะลองถามให้ ใครสนใจติดต่อหลังไมค์ครับ

 

---ข้อมูลเหรียญUNDP(เหรียญที่พวกเราลงขันมอบให้น้องเสมวันสัมมนา)

-ราคาหน้าเหรียญ900 บาท กรมธนารักษ์จำหน่าย1500บาท(แต่ของน่าจะหมดแล้ว เคยหยุดการจำหน่าย ลองสอบถามทางกรมก็ได้ครับว่ายังมีจำหน่ายมั้ย 02-2824109 02-2811295

 

-เงินบริสุทธิ์ 99.9% หนัก31.1กรัม เป็นเหรียญขัดเงา จำนวนผลิต250,000เหรียญ ผลิตที่โรงกษาปณ์ในประเทศออสเตรเลีย(แหล่งผลิตเป็นข้อมูลที่เคยดูจากข้อมูลที่เพื่อนนำมาโพสในเวปนี้ครับ)

http://ecatalog.trea...000=

 

ภาพตัวอย่างเหรียญ

http://ecatalog.trea...=938&Page=Front

http://ecatalog.trea...D=938&Page=Back

 

---ลองเปรียบเทียบราคากับเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔

 

 

เหรียญกษาปณ์เงินขัดเงา ชนิดราคา 800 บาท ราคาจำหน่าย 1,600 บาท น้ำหนักเหรียญ22กรัม เงิน92.5%

http://ecatalog.trea...000=

 

 

 

---เป็นเหรียญแท้ครับ เพื่อนผมซื้อจากกรมธนารักษ์ครับ

 

 

-------------ที่โพสเพราะคิดว่าน่าจะมีหลายคนสนใจเหรียญ หลายคนอยากได้เหรียญไว้เป็นที่ระลึก----

 

****ใครมีเหรียญเงินรุ่นอื่นอยากแลกกับเหรียญUNDP ติดต่อผมได้นะ เหรียญUNDPส่วนของผม ผมไม่ขายแต่ถ้าเเลกเหรียญสนใจครับ)

 

จริงๆกะจะโพสบอกเพื่อนๆแค่ครั้งเดียว แต่อ่านข้อความที่ตอบกลับจากผู้ซื้อทำให้ผมเปลี่ยนใจ เพราะเวลาของหมดจะมาขอซื้อต่อในส่วนที่ผมสะสมผมก็ไม่ขายครับ(แต่แลกเหรียญกันผมสนใจครับ)

 

 

โชคดีนะคะที่ได้เก็บไว้เป็นที่ระลึก สวยมากจริงๆค่ะ สีเนื้อเหรียญเป็นสีเงินบริสุทธิ์ เหมือนได้รับของขวัญปีใหม่เลยค่ะ ใครได้รับต้องชอบแน่ๆ

 

ทีแรกว่าจะให้พี่เหรียญหนึ่ง ให้น้องเหรียญหนึ่ง และเก็บไ้ว้เองอีกหนึ่ง แต่ตอนนี้ชักเสียดายแร่ะ อิอิ

 

วันนั้นบังเอิญได้เห็นที่คุณชัยโพสต์ไว้พอดี ถ้าเข้าเว็บช่วงอื่นที่ไม่ใช่ช่วงนั้นก็จะไม่รู้เลยเหมือนกันนะคะ

 

คิดว่าหลายคนคงพลาดนะคะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

รบกวนหน่อยนะคะ อยากซื้อเหรียญค่ะ แต่ไม่ทราบจะติดต่อหลังไมค์ทางไหนค่ะ ขอบคุณค่ะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...