ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

เมื่อวานได้มานั่งคิดเรื่องเงินๆทองๆแล้ว มีแนวความคิดมาฝาก/ขอความคิดเห็นครับ

  • ตอนนี้เงินเศรษฐีเอเชียเป็นจำนวนมาก ไหลเข้ามาในโลกตะวันตก ตัวอย่างเช่นชาวจีนแผ่นดินใหญ่ เข้ามาไล่ซื้ออสังหาฯในแวนคูเวอร์(แคนาดา) กันจนราคาขึ้นแบบน่ากลัว เงินพวกนี้ ก็มีทั้งเงินขาวสะอาด และเงินไม่ค่อยขาวสะอาดบ้าง ยิ่งจีนแผ่นดินใหญ่ประกาศเด็ดขาดกับพวกคอรัปชัน เงินก็จะออกมาหาที่อยู่นอกประเทศกันอีกเยอะ
  • โลกตะวันตก เกือบทั้งหมด รวมถึงแคนาดา ได้มีการออกกฏหมาย "ไซปรัส" ที่พร้อมจะปล้นเงินผู้ฝาก เพื่อมาอุ้มแบงค์เน่าเตรียมพร้อมไว้แล้ว

ถ้าจะมองมุมหนึ่ง ก็เป็นไปได้ว่า โลกตะวันตก กำลังกางแขนรับเงินเย็น เงินร้อน จากประเทศต่างๆเข้ามาในอ้อมกอด และเมื่อเงินเข้ามาได้ระดับนึงแล้ว เขาก็พร้อมที่จะสับสวิช เพื่อยึดเงินดังกล่าวเข้าไปเป็นของแบงค์เพื่ออุ้มสถาบันการเงิน และระบบการเงินเน่าๆไว้ --- คล้ายๆกับไซที่เอาไว้ดักปลา เข้าได้ แต่ออกไม่ได้

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณคุณwcg คุณส้มโอมือ คุณหมอเล็ก คุณไมโล คุณsear คุณoasis มากๆนะคะ :01

ถูกแก้ไข โดย Alan

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เมื่อวานได้มานั่งคิดเรื่องเงินๆทองๆแล้ว มีแนวความคิดมาฝาก/ขอความคิดเห็นครับ

  • ตอนนี้เงินเศรษฐีเอเชียเป็นจำนวนมาก ไหลเข้ามาในโลกตะวันตก ตัวอย่างเช่นชาวจีนแผ่นดินใหญ่ เข้ามาไล่ซื้ออสังหาฯในแวนคูเวอร์(แคนาดา) กันจนราคาขึ้นแบบน่ากลัว เงินพวกนี้ ก็มีทั้งเงินขาวสะอาด และเงินไม่ค่อยขาวสะอาดบ้าง ยิ่งจีนแผ่นดินใหญ่ประกาศเด็ดขาดกับพวกคอรัปชัน เงินก็จะออกมาหาที่อยู่นอกประเทศกันอีกเยอะ
  • โลกตะวันตก เกือบทั้งหมด รวมถึงแคนาดา ได้มีการออกกฏหมาย "ไซปรัส" ที่พร้อมจะปล้นเงินผู้ฝาก เพื่อมาอุ้มแบงค์เน่าเตรียมพร้อมไว้แล้ว

ถ้าจะมองมุมหนึ่ง ก็เป็นไปได้ว่า โลกตะวันตก กำลังกางแขนรับเงินเย็น เงินร้อน จากประเทศต่างๆเข้ามาในอ้อมกอด และเมื่อเงินเข้ามาได้ระดับนึงแล้ว เขาก็พร้อมที่จะสับสวิช เพื่อยึดเงินดังกล่าวเข้าไปเป็นของแบงค์เพื่ออุ้มสถาบันการเงิน และระบบการเงินเน่าๆไว้ --- คล้ายๆกับไซที่เอาไว้ดักปลา เข้าได้ แต่ออกไม่ได้

 

 

ผมรู้จักกับพี่คนหนึ่ง...ค่อนข้างคุ้นเคยกัน...

 

เป็นนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์...

 

มีกลุ่มทำงานร่วมกัน เป็นนายทุนจากได้หวัน..

 

ลงทุนผ่านบริษัทหลักทรัพย์หลายแห่งในเมืองไทย...

 

วางเครือข่ายไปทั่ว...ต่างจังหวัดหัวเมืองใหญ่...โยงใยกับกรุงเทพ...

 

สร้างวอลุ่มซื้อ - ขาย ทำราคาหุ้น ( เน้นหุ้นปั่นโดยเฉพาะ ).....

 

เคยเล่าให้ฟังว่า....

 

นายทุนพวกนี้...เป็นนอมินี มาอีกที...

 

แหล่งเงินทุนมาจากไหน...เขาไม่ทราบ...เขาถูกติดต่อมาอีกที...

 

ทีมงานสตาฟใหญ่ที่เขารับงานมา...กระจายงานมาเป็นทอดๆ...

 

มีพื้นฐานความรู้...ความเข้าใจ เกี่ยวกับการลงทุนเป็นอย่างดี (แทบจะทุก sector ของการลงทุน)

 

เรื่องการเข้าไปลงทุนปั่นอสังหาในแคนาดา...

 

เป็นเพียงแค่งานด้านหนึ่งของกลุ่มทุนนี้เท่านั้น....

 

ส่วนเขาเองและกลุ่มได้รับการติดต่อจากนอมินีอีกที....

 

แต่ลักษณะของการบรีฟงานแล้ว....พวกนี้คือ...มืออาชีพทางการลงทุน

 

ซึ่งไม่น่าแปลกใจ....

 

นักศึกษาที่เข้าไปเรียนในยุโรปและอเมริกาที่ประสบความสำเร็จ..

 

ทำคะแนนสูงสุดก็มาจากเอเซียนี่เอง....( จีน อินเดีย )

 

ดังนั้นก็น่าจะมีไม่น้อย...

 

ที่คนรุ่นใหม่อยากเดินทางลัด เข้ามารับงานบริหารเงินทุน....

 

จากแหล่งทุนที่จะทำให้เงินสีเทา..เป็นสีขาว

 

ผมกลับคิดว่า...ไม่ง่ายหรอกครับ...

 

ที่โลกตะวันตก...จะกักเงินจากแหล่งเอเซียนี้ไว้...

 

พวกนี้ แม้จะ ไม่มีอำนาจรัฐ...แต่มีความคล่องตัว...

 

การดำเนินการใดๆ ไม่ต้องห่วงเรื่องมวลชน...

 

การไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของมวลชน...สำคัญมากนะครับ....

 

นักการเมือง...กลัวที่สุดก็เรื่อง มวลชนนี่แหละครับ....( ถ้าตราบใดยังคิดจะเล่นการเมืองต่อไป )

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

โพสต์ วันนี้, 09:57 AMก่อนอื่นต้องขออนุญาติท่านเจ้าของห้องก่อนนะคับ ขอขอบคุณทุกกำลังใจ อาจจะไม่ได้ตอบบางท่านต้องขออภัย อย่าสูง บางท่าน บอกว่าทำไมเตือนช้าจัง วันนี้เลยจะมาขออนุญาติ เตือนพี่ๆอีกรอบนะคับ ท่านที่เทรดกับโบรค ที่มีลักษณะ หรอกให้ท่านซื้อตอนทองมันไปอยู่แนวต้านแล้ว กำลังจะลงแล้ว หรือหลอกว่าทองมันกำลังจะลงอีก ให้รีบขาย ยกตัวอย่างตอนที่ทองลงไป1321 คราวที่แล้ว แถมเงิน บาท แข็งโป๊ก ราคา99.99 ประมาณ19600 มีการให้พนักงานโทรหาลูกค้าหลอกว่าจะลงไปอีก ให้ขายให้หมดแล้วมันก็ดีดขึ้นมา1480 เจ็บตัว แถมหมดตัวกันทั้งบริษัท ไม่ใช่แค่ เด็กขายของคนเดียวหรอกนะคับ ที่หมดตัว กับบริษัทนี้ ท่านที่คิดว่า ยางอยุ่ใน วงจรนี้ อยากให้ท่านพิจรณา ว่าที่ผม พูดไป เราถูกหลอกจิงไหม พยายามออกมาเถอะคับ อยู่ไปก็มีแต่หมดตัว แถมเก็นหนี้เป็นสิน 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Jimmy Siri

 

 

คลิปนี้จะอธิบายอย่างง่ายๆและให้เห็นภาพชัดเจนเลยนะครับ ว่า "สงครามโลก"(ทางการเงิน) เกิดขึ้นแล้วระหว่างขั้วมหาอำนาจ และกำลังจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระบบการเงินการธนาคารของโลกใบนี้

 

ทั้งยังเป็นคำตอบของคำถามที่ว่าทำไมตลาดหุ้นเกือบทั่วโลกทยานขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่โลกตะวันตกโดยรวมกำลังเข้าสู่สภาวะ "ล้มละลาย"

 

และถ้าหากเป็นไปตามนี้ อเมริกาจะยอมตกเป็นเป้านิ่งแล้วยอมล้มตายลงไปง่ายๆอย่างนั้นหรือ? ดังนั้นจะมีอะไรอีกหลายๆอย่างที่กำลังจะตามมา มากกว่าสมรภูมิรบทางการเงินที่กำลังบีบให้อเมริกาเข้าไปสู่ "ทางตัน" อย่างแน่นอนครับ

 

จีน รัสเซีย และ BRICS กำลังเตรียมแผนโค่นดอลล่าจริงหรือ??

 

 

เปิดดูเลยครับ เป็นภาษาไทย ของคุณทนง ขันทอง

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

จากคลิป fed เป็นธ.เอกชนหรือครับเนี่ย :o นึกว่าเป็นธ.กลางของเมกาซะอีก

 

ภาวะสงคราม เลือกข้างใดข้างหนึ่งอันตราย ต้องมีแบบเสรีไทย :D

ถูกแก้ไข โดย milo

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

จากคลิป fed เป็นธ.เอกชนหรือครับเนี่ย :o นึกว่าเป็นธ.กลางของเมกาซะอีก

 

:D

 

คุณmilo ตกข่าวแล้ววววววว ในกระทู้นี้น่าจะคุยกันหลายครั้งแล้วว่าเฟดเป็นเอกชนครับ

 

JFK ที่โดนไข้โป้งเล่นงาน ก็เพราะจะไปล้มFED คุ้นว่าอับราฮัมก็เคสเดียวกัน(อับราฮัมไม่มั่นใจนะแค่คุ้นๆ)

ถูกแก้ไข โดย ส้มโอมือ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

จากคลิป fed เป็นธ.เอกชนหรือครับเนี่ย :o นึกว่าเป็นธ.กลางของเมกาซะอีก

 

 

 

เฟด ทำคิวอีโดยการพิมพ์เงินมาจากอากาศ ทำให้เฟดกลายเป็นเจ้าของบ้านและที่ดินรายใหญ่สุดในอเมริกา แต่เฟดเป็นเอกชน ครั้งนี้นับเป็นการผ่องถ่ายทรัพย์สินมหาศาลไปให้เอกชน

 

The Gold War Phase II...by Jimmy Siri บน Facebook

 

วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2553

 

ถอดเปลือก Federal Reserve และระบบธนาคารกลาง(ลวง)โลก

 

หลายวันก่อนมีโอกาสได้คลิกเข้าไปดูเวบที่ มีการโพสต์เกี่ยวกับวิกฤติเศรษฐกิจของสหรัฐบ้างครับ มีเรื่องนึงที่น่าสนใจมาก แต่คนรู้กลับมีน้อย นั่นก็คือ "ทองคำสำรอง 8,000 ตัน" ของสหรัฐ ผมจะเขียนเรื่องนี้ในอีกมุมมองหนึ่งซึ่งคุณอาจจะไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่สิ่งนี้อาจจะทำให้คุณเกิดมุมมองใหม่ แล้วเห็นอะไรชัดเจนขึ้นครับ ผมอ่านบทความของนักวิชาการหลายๆท่านที่เขียนถึง fundamental หรือจะเรียกว่าโครงสร้างพื้นฐาน แต่ผมจะเรียกง่ายๆ ว่า "ใส้ใน" ของสหรัฐก็เแล้วกันครับ

หนึ่งในความเชื่อมั่นที่โลกใบนี้มีต่อ สหรัฐก็คือ ทองคำสำรอง 8,000 ตัน ที่สหรัฐ "ไม่เคย" อ้างว่าถือครองอยู่ แต่ทั่วโลกกลับยึดถือตัวเลขนี้ ซึ่งถือได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งของโลกครับ แต่.......

ถ้าลองศึกษาประวัติศาสตร์การกำเนิดของ Federal Reserve หรือ ธนาคารกลางสหรัฐ ในปี 1912-1913 และสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นมาจนถึง ปี 1928-1932 คือช่วงปีที่เกิด The Great Depression เลยไปจนถึงอีกช่วงหนึ่งคือช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1939-1945 ในด้านเศรษฐกิจของสหรัฐ ทำให้เข้าถึงข้อมูลบางอย่างซึ่งทั้งหมดคือเรื่องเดียวกันและต่อเนื่องกัน ครับคือ

ทองคำจำนวน 8,000 ตันนี้ "อาจจะ" ยังอยู่ในสหรัฐ แต่ความจริงคือ เจ้าของ "ไม่ใช่" รัฐบาลสหรัฐหรือประเทศอเมริกาครับ

หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ความเป็นมหาอำนาจของโลกถูกเคลื่อนมายังประเทศสหรัฐ โดยกลุ่มทุนเดิมคือกลุ่มนายธนาคารสากล หรือ International Banker ที่มีฐานอยู่ในประเทศอังกฤษและยุโรปเกือบทั้งหมดครับ จนกระทั่งในช่วงคริสมาสของปี 1913 สหรัฐผ่านกฏหมาย Federal Reserve Act ก็คือการจัดตั้ง Federal Reserve, CIA และ IRS ในคราเดียว องค์กรทั้ง 3 นี้ถูกจัดตั้งขึ้น มา โดยการยัดเยียดจากกลุ่มนายธนาคารสัญชาติยุโรปเหล่านั้น ประวัติศาสตร์ในช่วงนี้คงพอจะทราบกันดีครับจากที่ผมเขียนไปแล้วครั้งหนึ่ง นานพอสมควรครับ

หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 สหรัฐอเมริกา เข้มแข็ง และยิ่งใหญ่ในทุกๆ ด้านครับ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ การคลัง และเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของโลก แต่หลังจากการจัดตั้ง Federal Reserve ขึ้นมาเป็น "กาฝาก" ในระบบการเงินและเศรษฐกิจแล้ว "หายนะ" ทั้งหลายก็เริ่มก่อตัวขึ้นครับ เพราะจุดประสงค์จริงๆ ของนายธนาคารสัญชาติยุโรปเหล่านั้นก็คือ การเข้ายึดครองระบบเศรษฐกิจ การเงิน และประเทศสหรัฐอเมริกาในที่สุด

พวกเค้าทำสำเร็จครับ โดยการควบคุมระบบการเงินการธนาคารซึ่งเปรียบได้กับเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อ เลี้ยงประเทศอเมริกาโดยรวม โดยมีการควบคุมปริมาณเงินและดอกเบี้ยเป็นเครื่องมือ และด้วยสิ่งนี้เองที่ทำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของสหรัฐและของโลก นั่นก็คือ "The Great Depression" ซึ่งทำให้สหรัฐอยู่ในสภาวะล้มละลายทางงบประมาณและการคลัง ในสภาพเดียวกับที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ครับ (แต่ทองคำสำรองยังมีอยู่ในมือ ณ ขณะนั้น) เช่นเดียวกัน การที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศได้ต้องกู้ยืมเงินจำนวนมหาศาลเพื่ออัดฉีด เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ หรือที่ถูกเรียกว่า " The New Deal " คำถามคือเงินจำนวนมหาศาลเหล่านั้นมากจากไหน ในขณะที่สหรัฐเองเป็นมหาอำนาจใหม่ และถือครองทองคำมากที่สุดในโลก

คำตอบก็ Federal Reserve นั่นเองครับ การจัดตั้ง Federal Reserve ในทางกฏหมายแล้วไม่ได้มีสถานะเป็นรัฐ หรือเป็นหน่วยงานของรัฐ เพียงแต่ให้ "บริษัทเอกชน" แห่งนี้มีหน้าที่ควบคุมดูแลการจัดพิมพ์ธนบัตร กระแสเงินสด และดอกเบี้ย ซึ่งจริงๆแล้วทั้งหมดนี้รัฐบาลสหรัฐสามารถที่จะทำเองได้ทั้งหมดเหมือนนาๆ ประเทศ เช่นประเทศไทยเป็นต้น แต่การผ่าน Federal Reserve Act ในครั้งนั้นอย่างที่บอกครับว่าเป็นการ "ยัดเยียด" โดยสิ้นเชิง โดยความร่วมมือระหว่างนายธนาคารข้ามชาติและนักการเมืองที่ถูกกว้านซื้อในสภา คองเกรส

 

หลังจากการที่ใช้เงินกู้จาก FED แล้ว ก็ต้องใช้คืนเค้าสิครับ ก็คือทองคำทั้งหมดที่สหรัฐนั่นแหละครับ ที่ราคา 35 ดอลล่าต่อออนซ์ และขั้นตอนทั้งหมดก็ถูกควบคุมโดย FED, นักการเมือง และประธานาธิบดีในสมัยนั้น ก็คือ "ทองหมด" ครับ เพราะฉะนั้นทุกวันนี้ที่ไปเอาตัวเลขเหล่านี้มา ยกมาได้ครับ แต่ในความเป็นจริง ทองคำเหล่านี้ ซึ่ง "อุปโลก" ว่ายังมีอยู่ และเก็บอยู่ที่ฟอร์ทน๊อก ไม่ได้มีการ Audit หรือตรวจสอบจากหน่วยงานใดๆ แม้แต่หน่วยงานเดียวของโลกตั้งแต่ ทศวรรษที่ 50 เป็นต้นมา แต่กลับมีทองคำสำรองเก็บไว้จำนวนมหาศาลที่ สำนักงานของ FED สาขานิวยอร์ค ซึ่งก็คงมีคนจำนวนมากที่สงสัยแต่ใครล่ะจะไปถาม นั่นคือประเด็นมากกว่าครับ

 

<a href="http://4.bp.blogspot.com/_yf-LPTWxoHQ/TQCS94T2P4I/AAAAAAAAA5w/QO76jsLYD5I/s1600/300px-Infobox_collage_for_WWII.PNG" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;">300px-Infobox_collage_for_WWII.PNGหลัง จากที่หมดตัวแล้วสหรัฐก็ไม่มีทางเลือกอื่นใดครับ เพราะครั้งที่แล้วที่ร่ำรวยมาได้ก็เพราะสงครามโลกครั้งที่ 1 เพราะฉะนั้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็คือ "คำตอบ" ของปัญหาครับ เป็นแบบ Win Win Solution คือทุกฝ่ายได้ประโยชน์ คือสหรัฐก็ได้ทำมาหากินฟื้นฟูเศรษฐกิจจากสงคราม ฮิตเล่อร์ก็ได้ลุ้นทวงตำแหน่งคืน พวกไซออนนิสแบงค์เกอร์เหล่านี้ก็ได้ปล่อยกู้ทั้ง 2 ฝ่าย โดยที่กลุ่มธนาคารกลางยุโรปก็คือกลุ่มเดียวกันที่เป็นเจ้าของ FED สนับสนุนเงินทุนให้ฮิตเล่อร์ทั้งหมดในการเคลื่อนไหวในยุโรป เพื่อช่วยฮิตเล่อร์ทวงสิ่งที่พวกเค้าสูญเสียไปในสงครามโลกครั้งที่ 1 คืนมา และนี่ก็คือจุดกำเนิดของสงครามโลกครั้งที่ 2 ครับ แต่จะให้เป็นสงครามโลกได้อย่างไหร่ถ้าแค่พรรคนาซีเยอรมันรบกับสหรัฐอเมริกา

ในอีกฟากโลกหนึ่งคือเอเซียแปซิฟิก ญี่ปุ่นบุกโจมตีสหรัฐ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงครับ แต่อะไรที่ทำให้ให้ญี่ปุ่นตัดสินใจบุกสหรัฐ ซึ่งน้อย คนที่จะทราบสาเหตุที่แท้จริงว่าทำไม "ตัวหมัดถึงกล้าลุกไปต่อยกับช้าง" ก็เพราะสหรัฐเจ้าเก่าแทรกซึมและบ่อนทำลายเศรษฐกิจของญี่ปุ่นอย่างย่อยยับ ก่อนนั่นเองครับ ซึ่งทั้งหมดก็คือแผนการที่ถูกวางไว้ก่อนแล้ว จนปัจจัยต่างๆเหล่านี้ผลักดันให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในที่สุด

ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวหรือประวัติศาสตร์ ที่ถูกบันทึกไว้ในหนังสือเล่มต่างๆ และเก็บอยู่ในห้องสมุดที่หาอ่านได้ทั่วไป หรือแม้ในกระทั่งอินเตอร์เน็ตครับ.......

และยังมีโศกนาฏกรรมอีกมากมายที่ก่อขึ้นโดย คนกลุ่มนี้หรือ International Banker ตั้งแต่ปี 1913 เป็นต้นมา ไม่ว่าจะเป็น สงครามเกาหลี สงครามเวียดนาม การลอบสังหารบุคคลสำคัญต่างๆ การล้มอเมริกาในรอบแรกด้วย "หนี้" โครงการสตาวอร์ โครงการอวกาศต่างๆ ทั้งหมดถูกจัดฉากขึ้นเพื่อให้สหรัฐ "กู้เงิน" ให้มากที่สุดครับ แล้วสุดท้ายก็จบลงด้วยการจ่ายหนี้คืนด้วย "ความเป็นเอกราช" ของสหรัฐทั้งหมด ลองเอาเรื่องราวเหล่านี้มาเปรียบเทียบหรือเรียงต่อกับสิ่งที่สหรัฐกำลัง ประสบอยู่ในขณะนี้ คุณก็จะเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นครับ โดยเฉพาะประเด็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของ FED ที่จะทำให้ถึงทางตันในอนาคต

แล้วคุณจะเห็นครับว่า ประเทศสหรัฐอเมริกาและคนอเมริกัน ไม่ได้มีความหมายหรือมีคุณค่าใดๆ เลย สำหรับกลุ่มทุนระดับโลกเหล่านี้ (ซึ่งเคลมตัวเองว่าเป็น "ยิว" (ปลอม)จากทวีปยุโรป หรือที่เรารู้จักในชื่อ "ไซออนนิส") สำหรับคนอเมริกันนอกจากการมีชีวิตอยู่ หาเงินเพื่อจ่ายภาษี และประสบชะตากรรมในสิ่งที่กำลังจะมาถึง ถ้าคุณเข้าใจในเรื่องราวเหล่านี้แล้วคุณคงจะมองเห็นแล้วนะครับว่า ทำไมผมถึงกล้า "ฟันธง" ว่าประเทศสหรัฐอเมริกาต้อง "ล้ม" ชะตากรรมคนอเมริกันจะเป็นอย่างไร แล้วอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง คงไม่ต้องถามผมนะครับ เพราะคุณก็คงตอบคำถามเหล่านี้ได้ด้วยตัวคุณเองแล้ว

แต่ปัญหาก็คือมันไม่ได้จบอยู่แค่ในอเมริกา ครับ เพราะผลกระทบจะเปรียบเสมือนคลื่นยักษ์ซึนะมิ ที่จะกระแทกใส่ทุกประเทศทั่วโลกอย่างรุนแรง และร้ายแรงกว่าครั้งไหนๆ ในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจการเงินโลก และทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นหรือไม่อย่างไร คุณคงจะต้องตอบคำถามเหล่านี้ให้กับตัวคุณเองครับ

ในขณะที่คุณรับรู้เรื่องราวเหล่านี้แล้ว ยังมีคนอีกหลายพันล้านคนครับ ที่ยังคิดว่า อเมริกา "ล้มไม่ได้" เพราะมีทองคำตั้ง 8,000 ตัน คุณลองเอาตัวเลข 8,000 ตันตั้งแล้วคูณด้วยราคาทองคำ ณ ปัจจุบันที่ $1,400 ก็คือ 8,000ตัน x 1,000กิโล x 32.15 ออนซ์ = 257,200,000 ออนซ์ x $1400 = $360,080,000,000 หรือ 360.08 Billion

ในขณะที่หนี้สาธารณะของสหรัฐอยู่ที่ 14 Trillion ณ ปัจจุบัน ซึ่งไม่รวมกับหนี้ผูกพันธ์ในอนาคตที่คาดว่าจะต้องจ่ายแน่นอน หรือที่เรียกกันว่า Unfunded Liability ซึ่งถ้ารวมเข้าไปแล้วก็จะอยู่ 75 Trillion เข้าไปแล้วครับ ซึ่งจะทำให้ตัวเลข 360.08 Billion แทบจะไม่มีความหมายอะไรเลยครับ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ FED เลือกวิธีปั๊มเงินมาจ่ายหนี้ต่างๆ ซึ่งก็คงเป็นความตั้งใจที่จะทำอย่างนั้น และถ้ามองกลับไปตอน The Great Depression ซึ่งสหรัฐก็อยู่ในสภาพไม่ต่างจากตอนนี้ แต่ ณ วันนี้หนักหนาสาหัสกว่ามากๆ ครับ และถ้าตอนนั้นเค้าหมดตัวแล้วก็เลือกทางออกด้วยการ "ก่อสงคราม" โลกครั้งที่ 2

 

 

 

ในครั้งนี้เค้าจะใช้วิธีไหนแล้วกลุ่มมือ ที่มองไม่เห็นหรือคือพวกพวกไซออนนิสแบงค์เกอร์ หวังจะใช้ให้สหรัฐทำอะไร คำตอบง่ายๆก็คือตัวอักษรภาษาอังกฤษ 3 ตัวเท่านั้นครับก็คือ " NWO " นั่นเองครับThe Gold War Phase II...by Jimmy Siri บน Facebook

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Jimmy Siri

เชื่อไม่เชื่อ??

 

ธนาคารเครดิตสวิสต์คาดการณ์ราคาทองคำปลายปีแตะ $1,100 และอาจแตะ $1,000 ภายใน 5 ปี

 

 

 

 

Gold keeps falling on Credit Suisse outlook; strong US dollar

 

Published: May 17, 2013 - 8:00 AM GMT

Bullion prices falter for the seventh day in a row, losing ground on worse outlooks and a stronger greenback.

 

 

4045-gold%20rings%20showcase%20GT80234460.jpg?mode=crop&width=250&height=165

by Marek Bocanek

WBP Online

New York - After a mild correction in late Thursday trading, gold was not able to crawl back above the $1,400 level, diving instead back into this week's love affair with the red zone. A strong US dollar and the loss of its safe-haven status motivated investors to buy equities and the US dollar following Soros and BlackRock's sale of the SPDR fund. Credit Suisse stepped in line with other influential market players, publishing their negative outlook on the precious commodity for this year.

 

 

Gold prices dipped 0.96% to $1,373.80 per troy ounce as of 7:59am GMT, correcting from Thursday's low of $1,369.86. This week the yellow metal lost more than 5%, mainly due to the US dollar rally exacerbated by Philadelphia Federal Reserve President Charles Plosser's comments on Tuesday concerning the asset-purchase program.

Silver fell this week more than 7%, trading near its two-year low under the $22.00 level. After a small correction, the metal correlated with bullion prices and remained in the red during Friday's morning session, trading lower 0.79% at $22.48 a troy ounce.

The dollar index traded at 83.871 at 8:00am GMT, showing the US dollar in an uptrend this week.

Credit Suisse outlook

Swiss banking group Credit Suisse AG published its gold outlook for 2013, predicting $1,100 per troy ounce would be seen this year and $1,000 would be hit in the next five years.

"Gold is going to be crushed," said Ric Deverell, head of commodities research in Credit Suisse. He then stated: “The need to buy gold for wealth preservation fell down and the probability of inflation on a one- to three-year horizon is significantly diminished.”

Central banks buying gold

Gold reserves of central banks rose to an eight-year high, mainly on massive buying from Russia and some of its former states. Last year, central banks bought 534.6 metric tons, a volume last seen way back in 1964.

"The central banks will continue to buy them [i.e. gold], so I don't expect gold to go down. If you have the prospect of a crisis, you will have occasional flurries or jumps. So, gold is very volatile on a day-to-day basis, no trend on a longer-term basis." Soros stated after speaking about bullion losing its safe-haven status.

 

Soros, Blackrock leaving gold, Paulson holds

Soros Fund Management LLC and BlackRock Inc have been reducing their gold investments in SPDR Gold Trust, upending the status of the commodity as a safe-haven for investors.

"Gold was destroyed as a safe haven, proved to be unsafe. Because of the disappointment, most people are reducing their holdings of gold," Soros stated in April.

However, John Paulson, president of Paulson & Co., is still holding the line and remains a large gold-bullish investor.

To contact the author of this story, e-mail marek.bocanek@wbponline.com

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ใครพอจะมีข่าวคืบหน้าการควบคุมการนำเข้าทองคำของอินเดียบ้างครับ คุมมากขนาดไหน ถ้าคุมหนักมากมีผลต่อราคาทองคำเยอะนะครับ ลองอ่าน2บทความนี้ดูครับ จะเห็นว่าคนอินเดียคลั่งทองคำมากมาย

 

คนอินเดียกับทองคำ

โดย วรากรณ์ สามโกเศศ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ มติชนรายวัน วันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10176

ทองคำในภาษาไทย JVAL (ชวาล ในภาษาสันสกฤต) Khrusos ในภาษากรีก Aurum ในภาษาละติน Jin ในภาษาจีน Kin ในภาษาญี่ปุ่น หรือ Gold ในภาษาอังกฤษ ล้วนให้ภาพของความเหลืองอร่ามมีค่าสูง แต่สำหรับคนอินเดียแล้ว ทองคำดูเจิดจรัสเป็นพิเศษอย่างยิ่ง

ราคาทองคำเพิ่มขึ้นเป็นลำดับจากกรัมละ 9 เหรียญสหรัฐ ในปี ค.ศ.2001 เป็น 17 เหรียญสหรัฐในเดือนมกราคม ปี 2006 คนไทยไม่คุ้นกับราคาที่เป็นกรัมแต่คุ้นกับระบบที่สับสนคือ ทองคำหนึ่งบาท (น้ำหนักเท่ากับ 15.2 กรัม) มีราคากี่บาท (มูลค่า) ในระดับโลกน้ำหนักของทองคำ สับสนไม่น้อยเช่นกันเพราะใช้หน่วย troy ounce (ไม่ใช้ ounce หรือออนซ์ธรรมดาที่ 16 ออนซ์ เท่ากับ น้ำหนักหนึ่งปอนด์) ซึ่ง 1 หน่วยเท่ากับ 31.1035 กรัม เป็นหลัก

แต่ดึกดำบรรพ์ทองคำเป็นของมีค่า และขุดค้นหากันมาทุกยุคสมัย มีประมาณการว่า ร้อยละ 75 ของปริมาณทองคำทั้งหมดในโลก ที่ถูกขุดขึ้นมาหลัง ค.ศ.1910 และทองคำ ในโลกทั้งหมดที่ขุดขึ้นมาตลอดยุคสมัยนั้น หากเอารวมกันเข้าก็จะมีปริมาณเท่ากับแท่งสี่เหลี่ยมขนาด 20x20x20 เมตร (ทองคำจากถ้ำลิเจียถูกรวมอยู่ในนี้แล้ว) ครับ

แอฟริกาใต้เป็นแหล่งผลิตทองคำใหญ่สุดของโลก (Johannesburg เมืองหลวงสร้างอยู่บนแหล่งทองคำใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง) ในปี 2004 ผลิต 373 ตัน รองมาคือ ออสเตรเลีย 282 ตัน สหรัฐอเมริกา 276 ตัน จีน 194 ตัน รัสเชีย 177 ตัน เปรู 173 ตัน อินโดนีเชีย 164 ตัน (ไทยก็มีการผลิตทองคำในปัจจุบัน แต่เข้าใจว่าตัวเลขการผลิตถูกรวมไว้เป็นของออสเตรเลีย เพราะแร่ถูกส่งจากไทยไปถลุงในขั้นสุดท้ายที่โน่น) โดยทั่วไปจะคุ้มกับการทำเหมืองก็ต่อเมื่อมีแร่ทองคำไม่ต่ำกว่า 0.5 กรัม ต่อดิน 1,000 กิโลกรัม หรือ 0.5 parts-per-million ในมหาสมุทรของโลกมีทองคำเป็นปริมาณมหาศาลแต่กระจายอยู่อย่างเจือจางมาก อาจถึง 1-2 parts-per-billion เท่านั้น (น้อยกว่าเป็นร้อยเท่าของเหมืองบนดิน)

การผลิตทองคำของโลกน้อยลงเนื่องจากปัญหาความยุ่งยากในการขุดและถลุง และปัญหาสังคมการเมือง ในแหล่งที่มีแร่ทองคำหนาแน่น เช่น แอฟริกาใต้ (ในปี 1880 แอฟริกาใต้ผลิตถึง 1,000 ตัน เท่ากับร้อยละ 80 ของปริมาณที่ผลิตในโลก แต่ในปี 2004 ลดเหลือเพียง 342 ตันเท่านั้น) อย่างไรก็ดี ความต้องการทองคำมีมากขึ้น เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมและเป็นเครื่องประดับ

ประเทศที่ซื้อทองคำจากตลาดโลกในแต่ละปีมากที่สุดก็คืออินเดียโดยสูงถึง 850 ตัน หรือร้อยละ 20 ของที่ผลิตได้ในโลก (ผลิตประมาณ 4,250 ตัน ในปี 2005)

คนอินเดียดูจะเป็นคนที่รักชอบทองคำเป็นพิเศษมายาวนาน มีประมาณการว่าในปัจจุบันคนอินเดียเก็บทองคำในรูปทองแท่ง หรือเครื่องประดับไว้ในเซฟของธนาคาร และของบ้านรวมกันไม่ต่ำกว่า 15,000-20,000 ตัน ในปี 2005 ที่ทองคำมีราคาสูงขึ้นกว่าปี 2004 ถึงกว่า 3 เหรียญสหรัฐต่อกรัม คนอินเดียซื้อทองคำรวมกัน 850 ตัน ซึ่งสูงกว่าปี 2004 ถึงร้อยละ 33 (ราคาต้นปี 2006 ถือว่าสูงสุดในรอบ 24 ปี)

ถึงแม้ว่าราคาทองคำจะสูงขึ้นพรวดพราดเพราะความกังวัลในเรื่องการก่อการร้าย ค่าเงินเหรียญสหรัฐที่ตกลงไปมาก สงครามอิรัก ไข้หวัดนก ฯลฯ แต่คนอินเดียก็ไม่หวาดหวั่น (บางส่วนของทองคำที่ซื้ออาจนำมาผลิตเครื่องประดับส่งออกนอก แต่ทองคำส่วนใหญ่เป็นการใช้ในประเทศ) ยังคงซื้อทองคำกันคึกคัก ทั้งนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจอินเดียที่เปลี่ยนรูปแบบจากปิดมาเป็นเปิดประเทศ

ได้ยินมาว่าในยุคสมัยหนึ่งเมื่อ 30 ปีก่อน ตอนที่ทางการอินเดียห้ามนำเข้าทองคำ เพราะคนอินเดียบ้าคลั่งทองคำกันมาก จนสูญเสียเงินตราต่างประเทศมหาศาล นักเรียนไทยในอินเดียขาย สายสร้อยคอทองคำที่เอาไปจากบ้านเรากันได้กำไรงดงาม ปัจจุบันเมื่อยอมให้นำเข้าทองคำได้จึงซื้อกันสนุกสนาน (ในสหรัฐอเมริการะหว่าง ค.ศ.1933-1975 ห้ามประชาชนสะสมทองคำในรูปลักษณ์อื่น นอกจากเป็นเครื่องประดับและเหรียญสะสมเท่านั้น)

ความต้องการซื้อทองคำส่วนหนึ่งของคนอินเดียมาจากความไม่คุ้นเคยกับการลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ และกองทุนรวม ซึ่งเป็นของใหม่ นักลงทุนส่วนใหญ่เป็นเศรษฐีที่ต้องการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน ดีมานด์ของทองคำสำหรับเก็งกำไร จากคนกลุ่มนี้ลดลงในปัจจุบัน แต่กลับไปเพิ่มในกลุ่มคนชั้นกลางที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนเชื่อว่ามีอยู่ประมาณ 100-300 ล้านคน และคนจนที่พอมีเงินมากขึ้น

คนอินเดียกลุ่มใหญ่โดยเฉพาะในรัฐทางใต้เป็นสิบๆ ล้านคน กำลังได้รับประโยชน์ทั้งทางตรง และทางอ้อม จากงานรับจ้างเขียนโปรแกรม ให้ต่างชาติ งานรับโทรศัพท์ (call center) ให้บริษัทต่างชาติ (จ้างคนอินเดียข้ามประเทศ เป็นคนตอบคำถามลูกค้าอเมริกัน) ฯลฯ เมื่อมีเงินความรัก ทองคำเป็นเครื่องประดับที่มีมาแต่อ้อนแต่ออกก็ย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา และเห็นว่าการซื้อทองคำเก็บไว้กับตัว เป็นการออมที่ให้ความคล่องตัวที่สุดทางหนึ่ง

นอกจากนี้ การประดับตัวลูกสาวด้วยทองคำในวันแต่งงาน (ฝ่ายหญิงเป็นผู้จ่ายสินสอดทองหมั้นให้ฝ่ายชาย) ถือว่าเป็นหน้าเป็นตาของผู้เป็นพ่อ และเป็นภาระสำคัญของพ่อที่มีลูกสาว ดีมานด์ของทองคำที่มาจากส่วนนี้ในแต่ละปี มีปริมาณไม่น้อยเพราะหน้าตาเป็นเรื่องสำคัญมากของคนเอเชีย

ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (non-performing assets) แต่ก่อให้เกิด "ความหน้าบาน" สิ่งที่ควรตระหนักก็คือการบานของหน้านั้น มีราคา เพราะต้องเสียสละเงินทองที่ควรจะได้หากแม้นเครื่องประดับทองคำที่ใส่นั้น แปรร่างเป็นเงินฝากหรือหลักทรัพย์ อย่างไรก็ดี มนุษย์ไม่ใช่ เครื่องคิดเลขที่ต้องการรายได้ที่เป็นตัวเงินเสมอไป บ่อยครั้งที่ "ความหน้าบาน" ก็ถือได้ว่าเป็นความ ชื่นใจ (หากไม่อยู่บนกองหนี้) ที่มีค่าเสมือนรายได้เช่นเดียวกัน

ความสมดุลระหว่าง "ความหน้าบาน" ที่ไม่มีผลตอบแทนระหว่างกาลกับการอดออมเงินไว้ลงทุน และได้รับผลตอบแทนเป็นสิ่งที่คนอินเดียในยุคเศรษฐกิจใหม่จำเป็นต้องเรียนรู้

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

วันที่ 22 มกราคม 2556 01:00 news_img_tassana_175.jpg ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ คอลัมนิสต์ประจำคอลัมน์ "อาหารสมอง" จำนวนคนอ่าน 4011 คน

ทองคำทำร้ายอินเดีย

 

อินเดียเป็นชาติที่พิสมัยทองคำเป็นพิเศษมาเป็นเวลาช้านาน ทองคำเป็นทั้งเครื่องประดับ เครื่องมือในการสะสมทรัพย์ และในการเก็งกำไร

 

การที่เศรษฐกิจอินเดียประสบปัญหาในปัจจุบันนั้นส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการชอบทองคำเป็นพิเศษนี่แหละ

ทองคำเป็นสิ่งมีค่าที่มนุษย์เชื่อถือมาไม่ต่ำกว่า 4,000-5,000 ปี และอาจเป็นโลหะชนิดแรกที่มนุษย์ใช้ในการประดับและประกอบพิธีกรรม

มีประมาณการว่าตลอดประวัติศาสตร์มนุษยชาติมีการนำทองคำออกมาใช้ในโลกของ เราทั้งหมดประมาณ 171,300 ตัน หรือ 5,500 พันล้านทรอยเอานซ์ (ทรอยเอานซ์เป็นหน่วยของทองคำโดย 1 หน่วยหนัก 31.10347 กรัม ดังนั้นทองคำ 1 บาทไทยจึงหนัก 0.4887 ทรอยเอานซ์) หรือ 8,876 คิวบิกเมตร ซึ่งถ้าเอามาปั้นเป็นลูกเต๋าก็จะได้ความยาวด้านละ 20.7 เมตร

นักธรณีวิทยาเชื่อว่าทองคำจำนวนมหาศาลของโลกฝังลึกอยู่ใกล้จุดศูนย์กลาง ของโลก หรือลึกลงไปประมาณ 6,300 กิโลเมตร (อยู่ห่างถ้ำลิเจียที่กาญจนบุรีมาก) มันได้จมลงไปในดินในขณะที่โลกยังมีอายุน้อยเนื่องจากทองคำมีความหนาแน่นสูง (หนัก)

ทองคำเกือบทั้งหมดที่มนุษย์ค้นพบกันนั้นล้วนเป็นทองคำที่มาจากอุกกาบาตจำนวนมากที่หล่นลงมาบนโลกในเวลาหลายล้านปีที่ผ่านมา

อินเดียเป็นประเทศที่บริโภค (ใช้) ทองคำมากที่สุดในโลก สถิติในปี 2010 ระบุว่าใช้ถึง 745.7 ตัน ในขณะที่ในปี 2009 ใช้เพียง 442.37 ตัน รองลงมาคือจีนใช้ 428 ตันในปี 2010 ไทยใช้ 6.28 ตัน รวมแล้วทั้งโลกใช้ทองคำ 2,059.6 ตัน เปรียบเทียบกับ 1,760.3 ตันในปี 2009

ในปัจจุบันอินเดียในแต่ละปีซื้อทองคำโดยเฉลี่ยประมาณ 1 ใน 4 ของทั้งโลก คือประมาณ 800 ตัน โดยนำเข้าประมาณ 400 ตัน คาดว่าครัวเรือนอินเดียทั้งประเทศถือครองทองคำประมาณ 18,000 ตัน มูลค่าประมาณ 950,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเท่ากับร้อยละ 11 ของปริมาณทองคำทั้งหมดในโลกในปัจจุบัน หรือเกือบ 3 เท่าของทองคำที่ธนาคารกลางสหรัฐถืออยู่

ความบ้าคลั่งทองคำในรูปของทองรูปพรรณมีมายาวนาน อินเดียห้ามนำเข้าทองคำนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1947 กฎหมาย The Gold Control Order 1963 และปี 1968 กำกับควบคุมความต้องการทองคำโดยห้ามนำเข้า ตลอดจนจำกัดปริมาณทองคำที่ช่างทองสามารถมีอยู่ได้ในมือ เนื่องจากภาครัฐรู้จักรสนิยมของประชาชนดีและตระหนักถึงความต้องการทองคำ อย่างไม่มีที่สุดของคนอินเดีย อย่างไรก็ดีกฎหมายนี้ถูกยกเลิกไปใน ค.ศ. 1990

ประเพณีให้ทองคำเป็นของขวัญในเทศกาล Diwali งานแต่งงาน และโอกาสอื่นๆ อันเป็นมงคล ตลอดจนปรากฏการณ์เศรษฐกิจสังคมในประเทศ เช่น การลักลอบซื้อขายและขนส่ง ยาเสพติด การค้าขายเงินตราต่างประเทศในตลาดมืด คอร์รัปชัน การใช้เป็นหลักทรัพย์ การหนีภาษี การใช้เป็นสินสอด การค้าขายสินค้าใต้ดิน การเก็งกำไร การแสวงหาความมั่นคงจากเศรษฐกิจที่ผันผวน ฯลฯ ล้วนมีส่วนในการทำให้ทองคำเป็นที่นิยม

ในแต่ละปีอินเดียนำเข้าทองคำกันมากมายเฉลี่ยปีละ 400 ตัน จนสูญเสียเงินตราต่างประเทศเป็นอันมาก นอกจากการนำเข้าน้ำมันซึ่งเป็นอันดับหนึ่งแล้ว ทองคำซึ่งเป็นอันดับสองมีสัดส่วนร้อยละ 11.5 ของมูลค่าการนำเข้าทั้งหมด

เมื่อทางการอินเดียปล่อยข่าวเมื่อเร็วๆ นี้ว่าจะมีการเก็บภาษีนำเข้าให้สูงขึ้นเพื่อสกัดการนำเข้า ตัวเลขการนำเข้าทองคำก็ถีบตัวสูงขึ้นไปอีก การเก็บสะสมเพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ ของครัวเรือนก็สูงขึ้นจาก 18,000 ตัน เป็น 20,000 ตัน ซึ่งยิ่งทำให้การพยายามแก้ไขปัญหาขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่พุ่งสูงขึ้นถึง ร้อยละ 5.4 ของ GDP ยากยิ่งขึ้น

หากอินเดียไม่มีการเกินดุลบัญชีทุน (เงินตราต่างประเทศจากการลงทุนและกู้ยืมสูงกว่าเงินตราต่างประเทศที่ไหลออก จากการไปลงทุนต่างประเทศและใช้คืนหนี้) ก็หมายถึงการขาดดุลการชำระเงิน (เงินทุนสำรองระหว่างประเทศจะลดลง) หากสภาวการณ์ขาดดุลนี้รุนแรงและเรื้อรังก็จะนำไปสู่ปัญหาการขาดความเชื่อ มั่นในเศรษฐกิจและเงินสกุลรูปี เนื่องจากมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศน้อยลงเรื่อยๆ ส่งผลกระทบทำให้ราคาของเงินตราต่างประเทศในรูปของเงินรูปีสูงขึ้น (ค่าเงินรูปีลดลง) ซึ่งหลีกไม่พ้นที่จะกระทบถึงค่าครองชีพของประเทศ (อินเดียนำเข้าน้ำมันอันดับหนึ่ง ดังนั้นเมื่อเงินตราต่างประเทศมีราคาแพง ราคาน้ำมันในรูปเงินรูปีก็ย่อมสูงตามไปด้วย)

การถือทองคำไว้ในมือไม่ว่าในรูปทองรูปพรรณหรือทองแท่งมิได้เพิ่มพูนความ สามารถในการผลิตของสังคม อีกทั้งมิใช่การลงทุนที่เป็นประโยชน์ ทรัพยากรการเงินของทั้งประเทศไปจมอยู่ และไม่มีผลตอบแทนทางการเงินระหว่างที่ถือไว้อีกด้วย

อย่างไรก็ดีถ้าทางการอินเดียสนับสนุนให้มีการกู้ยืมโดยใช้ทองคำเป็นหลัก ทรัพย์ ค้ำประกัน การเป็นสังคมที่นิยมทองคำก็อาจก่อให้เกิดประโยชน์โภคผลขึ้นได้ถ้าไม่มีการนำ เข้าอย่าง บ้าคลั่งอีกอย่างไม่รู้จบ

การแสวงหาและถือทองคำไว้ในมือไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมฉันใด การบ้าคลั่งปริญญาเพื่อเพิ่มวิทยฐานะก็ฉันนั้น เงินอาจซื้อทองคำและเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการได้มาซึ่งปริญญาได้ แต่เงินซื้อปัญญาไม่ได้

ถูกแก้ไข โดย ส้มโอมือ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ธ.กลางเอเชียอาจซื้อบอนด์จีนเพิ่ม หลังการผ่อนคลายโควต้า (22/04/2556)

 

เจ้าหน้าที่ธนาคารหลายรายเปิดเผยว่า ธนาคารกลางในเอเชียอาจเข้าซื้อ พันธบัตรของจีนในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ โดยฉวยประโยชน์จากการผ่อนคลาย โควต้าการลงทุน และการเข้าถึงที่ง่ายขึ้นในตลาดจีน ขณะที่รัฐบาลจีนเพิ่มความ พยายามที่จะทำให้หยวนเป็นสกุลเงินสากล

 

ขณะที่จีนได้ส่งเสริมการใช้หยวนในการค้าระหว่างประเทศนั้น จีนต้อง การให้หยวนถูกใช้ในการลงทุนข้ามประเทศด้วย การค้าของจีนเพียง 1% มีการชำระราคาเป็นสกุลเงินหยวนในช่วงต้นปี 2010 แต่ในขณะนี้มีการชำระราคาเป็นเงินหยวนมากกว่า 12% ซึ่งส่วนใหญ่ เป็นประเทศคู่ค้าของจีนในเอเชีย-แปซิฟิก และพวกเขาต้องการลงทุนในสินทรัพย์ สกุลเงินหยวนด้วย

 

ณ สิ้นเดือนก.พ.ที่ผ่านมา ข้อมูลจากสำนักหักบัญชีพันธบัตรของจีน บ่งชี้ว่า ธนาคารต่างประเทศรวมทั้งธนาคารกลางและธนาคารเพื่อการชำระ บัญชีการค้าของฮ่องกงนั้น ถือครองพันธบัตรอินเตอร์แบงก์เป็นวงเงินราว 266 ล้านหยวน (43 ล้านดอลลาร์)

 

ในเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา ผู้ควบคุมกฏระเบียบของจีนระบุว่า นักลงทุน สถาบันต่างชาติที่มีคุณสมบัติเหมาะสม (QFII) จะได้รับอนุญาตให้ลงทุน ในตลาดพันธบัตรอินเตอร์แบงก์ในจีนได้เป็นครั้งแรก

 

แต่เดิมนั้น QFII สามารถซื้อพันธบัตรที่ซื้อขายในตลาดหุ้นจีนเท่านั้น แม้ 95% ของการซื้อขายพันธบัตรจีนทั้งหมดอยู่ในตลาดอินเตอร์แบงก์ก็ตาม

 

อย่างไรก็ตาม 70% ของกองทุนที่ลงทุนผ่านโครงการ QFII นั้น ลงทุนในหุ้น ณ สิ้นปี 2012 ขณะที่กองทุนส่วนที่เหลือส่วนใหญ่ถือครอง เงินสด

 

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ขอโควต้าลงทุนเพียง 300 ล้าน ดอลลาร์ก่อนหน้านี้ เช่นเดียวกับธนาคารกลางเกาหลีใต้ ขณะที่ธนาคารกลาง ฮ่องกงขอโควต้าสูงสุด 1 พันล้านดอลลาร์ แต่ในขณะนี้ธนาคารกลางในเอเชีย- แปซิฟิกทั้งหมดอาจมีเหตุผลมากขึ้นที่จะขอเพิ่มโควต้าการลงทุน

ที่มา : ทันหุ้น(วันที่ 22 เมษายน 2556)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...